ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล อาชีพตำรวจน่าจะเป็นอาชีพที่คนทำงานต้องเหนื่อยที่สุด เพราะต้อง “วิ่งเต้น” ตลอดเวลา ตอนที่พิชิตเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน พ่อแม่นั้นเห่อลูกจนออกหน้าออกตา ถึงขนาดจัดงานเลี้ยงให้ที่บ้านเกิดของพ่อกับแม่อย่างใหญ่โต แบบที่เรียกว่า “ปิดหมู่บ้านฉลอง” แต่พิชิตนั้นเป็นคนเงียบ ๆ มาแต่ไหนแต่ไร จึงค่อนข้างอึดอัดที่จะอวดตัวอวดตนอย่างที่พ่อแม่ต้องการ และยิ่งในการทำงานด้วยแล้ว พ่อก็ได้ถือสิทธิที่พ่อนั้นเป็นตำรวจมาก่อน “สั่งสอนอบรม” พิชิตอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งหวังที่จะให้พิชิตเติบโตก้าวหน้าโดยเร็ว ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้พิชิตไปเป็นนายเวรของตำรวจผู้ใหญ่ที่พ่อคุ้นเคย เพราะการเป็นนายเวรคือ “ทางลัด” ของนายตำรวจหนุ่ม ๆ หลาย ๆ คน เมื่อเจ้านายเติบโตไปก็จะเติบโตตามเจ้านายไปด้วย แต่ที่สำคัญคือได้อยู่ใกล้ชิดผู้หลักผู้ใหญ่ การได้สองขั้นก็จะได้แบบปีเว้นปี ทำให้เงินเดือนขึ้นเร็วและเพิ่มอาวุโสให้เหนือคนอื่น ทำให้ได้เปรียบในการเลื่อนตำแหน่ง เพราะอยู่ในสายตาและการจดจำของผู้ใหญ่อยู่เสมอ พิชิตดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับพ่อ เขาบอกว่าการที่ได้อยู่ในโรงพัก “ชั้นหนึ่ง” แบบโรงพักพญาไทก็เป็น “โอกาสทอง” อย่างหนึ่งเหมือนกัน แรก ๆ พ่อก็เคืองพิชิตมาก บ่นงุ่นง่านอยู่หลายวัน เพราะพ่อได้ไปฝากฝังกับผู้ใหญ่ไว้แล้ว แต่ด้วยความรักลูกก็อดใจเอา และเลิกบ่นในท้ายที่สุด แล้วเปลี่ยนมาแนะนำว่า อย่างนั้นก็ต้องหมั่นไปเยี่ยมเยียนผู้บังคับบัญชา และที่สำคัญต้องมี “อะไรติดไม้ติดมือ” ในเวลาที่ไปเยี่ยมเจ้านายนั้นด้วย ซึ่งพิชิตก็ไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องนี้มากนัก บางทีพ่อกับแม่ของพิชิตจึงต้องจัดการจัดหาสิ่งของต่าง ๆ ไปเยี่ยมเจ้านายนั้นแทน พร้อมกับที่มาย้ำกับพิชิตว่า “อย่านิ่งดูดาย” คือต้องทำ “ผลงาน” ให้เข้าตาเจ้านายอยู่โดยตลอด ซึ่งพ่อจะเน้นคำว่า “ผลงาน” ในความหมายของ “เงินทอง” ที่จะต้องส่งให้กับเจ้านายเป็นประจำ ซึ่งพิชิตก็ได้แต่ทำทียอมรับและรับปากว่าจะพยายาม แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยชอบยุ่มย่ามกับใคร จึงไม่ได้ทำตามที่รับปากพ่อไว้นั้น ตำรวจไทยอยู่ใน “วงจรอุบาทว์” อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “การส่งส่วยและใช้เส้นสาย” ซึ่งพิชิตก็ต้องตกเข้าไปในวงจรนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในปีแรกที่เขามาประจำที่โรงพัก ผลงานเขาดีมาก ตามประสา “น้องใหม่ไฟแรง” ขยันออกตรวจตราท้องที่ เพราะเขาได้รับการอบรมมาว่า “ตำรวจ” มาจากคำว่า “ตรวจ” หน้าที่หลักคือการลงพื้นที่ตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน แต่มันก็ทำให้เขาต้องแปลกใจ เพราะเมื่อเขาเดินไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ผู้คนก็เดินหลบหลีกหรือก้มหน้าหนีห่าง ครั้นจะพูดจาทักทายก็ไม่มีใครพูดด้วย แต่เขาก็พยายามที่จะสร้างมิตรและผูกสัมพันธ์ ยิ้มให้ทุกคนไปเรื่อย ๆ ดีที่บางคนก็ยิ้มตอบ แต่ก็ยังไม่พูดด้วยอยู่ดี เขาจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ที่เขาไปเยี่ยมปู่และย่าที่บ้านนอก พ่อแต่งชุดตำรวจและพาเขาไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็ปิดประตูเงียบไม่ต้อนรับ บางบ้านมีเสียงเด็กร้องจ้า พ่อแม่บอกให้เงียบ เดี๋ยวตำรวจมาจับไปกินตับแบบซีอุย พอเขามาเจอเข้ากับตัวเอง จึงไม่แน่ใจว่าที่เลือกอาชีพเป็นตำรวจนี้เขาคิดผิดหรือไม่ เพราะมีคนรักน้อยเต็มที อย่างไรก็ตามก็มีเรื่องที่ทำให้เขาต้องตกใจ เพราะเมื่อเดินไปตามตลาดและห้องแถวหรือย่านร้านค้า ก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าให้ข้าวของมากมาย ที่ค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นขนมนมเนย ที่เป็นร้านดี ๆ หรือร้านใหญ่ ๆ ก็มีเงินใส่ซอง มากบ้างน้อยบ้าง รวมถึงสุราต่างประเทศ ซึ่งเขาก็แบ่งให้ลูกน้องหลาย ๆ คน ทราบจากลูกน้องว่า นี่เป็น “ธรรมเนียม” เมื่อ “นายน้อย” ที่หมายถึงนายร้อยบรรจุใหม่ ออกมาตรวจตราเยี่ยมเยียน ก็ต้องมีการ “จิ้มก้อง” หรือให้ส่วยตามธรรมเนียม แต่ก็ไม่ควรออกตรวจบ่อยนัก เพราะจะเป็นการทำให้พ่อค้าแม่ค้ารังเกียจ ซึ่งเดือนต่อ ๆ มาเขาก็ไม่ได้ออกตรวจตราตามที่ควร แต่เขาก็ยังได้รับ “ซอง” ที่ข้างในมีเงินมากบ้างน้อยบ้างอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยลูกน้อง “พวกหมูจ่าดาบ” จะเป็นคนจัดการให้ในแต่ละเดือน ที่เจือจานกันไปมากน้อยตามสถานะ บางทีเขาก็อึดอัดมาก และอยากจะว่ากล่าวตักเตือนลูกน้องเหล่านั้น แต่พอได้ฟังลูกน้องเหล่านั้นชี้แจงว่า “เขาทำกันอย่างนี้มานานแล้ว” พิชิตก็เลยได้แต่ปิดปากไว้ และพยายามที่จะไม่รับข้าวของหรือ “ซอง” เหล่านั้น ปกติผลงานพิชิตซึ่งเมื่อเทียบกับนายตำรวจระดับเดียวกับคนอื่น ๆ ก็ควรที่จะได้รับขั้นพิเศษ ที่เรียกว่า “สองขั้น” (ปกติข้าราชการทุกคนที่ทำงานตามธรรมดา แบบ “เช้าชามเย็นชาม – ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ” ก็จะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนปีละ 1 ขั้นกันทุกคน แต่ถ้ามีผลงานดี ก็จะได้ขั้นพิเศษอีกครึ่งขั้นหรือหนึ่งขั้น และคนที่ได้เพิ่มอีกหนึ่งขั้นนี้ก็จะถือว่าโชคดีมาก เพราะในปีนั้นก็จะได้เลื่อนเงินเดือนขึ้นถึง 2 ขั้น) แต่เขาก็ไม่ได้ ต่างกับนายร้อยใหม่ ๆ เหมือนเขาที่เข้านายออกนาย “ปากว่า มือถึง” (หมายถึงชอบประจบและหาเงินให้นาย)กลับได้ขั้นพิเศษ ครั้นพอผ่านไปอีกปีเขาจึงได้ขึ้นอีกครึ่งขั้น ในขณะที่ตำรวจจำพวกที่ว่าได้อีก 1 ขั้น หรือบางคนได้ขั้นครึ่งสลับสองขั้นทุกปี ทำให้คนเหล่านั้น “ไปไว” กว่าเขา เพราะเพียง 3 ปี ตำรวจพวกนั้นก็ติดยศร้อยตำรวจโท และต่อมาอีก 3 ปีก็ติดยศร้อยตำรวจเอก ในขณะที่พิชิตผ่านไป 4 ปี ยังได้แค่ร้อยตำรวจโท และพอเขาได้ร้อยตำรวจเอกในอีก 4 ปีต่อมานั้น ตำรวจพวกนั้นบางคนก็ขึ้นไปรับตำแหน่งสารวัตร ทั้งที่ตำรวจพวกนั้นบางคนไม่ได้ทำงานที่โรงพัก แม้จะมีตำแหน่งมาบรรจุให้ทำงานี่โรงพัก แต่กลับไปทำงานอยู่ที่กรม อย่างที่เรียกว่า “ช่วยราชการ” กันหลายคน ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ได้ใกล้ชิดเจ้านาย ไม่ต่างกันกับคนที่ได้เป็นนายเวรหรือเลขานุการของนายตำรวจใหญ่ ๆ ทั้งหลาย ทำให้เขามาคิดถึงคำพูดของพ่อ ที่เคยบอกให้เขาอยู่ใกล้ชิดเจ้านาย แต่เขาก็ทำไม่ได้อย่างที่พ่อบอก และมันก็กำลังทำให้เขา “หมดพลัง” ในการไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูง ๆ นั้นไปเรื่อย ๆ ในปีที่พิชิตติดยศพันตำรวจตรี เขาได้ถูกย้ายไปอยู่โรงพักที่ฝั่งธนบุรี โดยมีคนมาบอกเขาว่าเจ้านายให้ไปเตรียมตัวเพื่อขึ้นเป็นสารวัตรที่โรงพักนั้น เขาก็ทำใจไว้แล้ว เพราะมีรุ่นพี่บางคนเคยบอกเขาว่า การที่ถูกย้ายจากโรงพักชั้นหนึ่งในกรุงเทพฯ ไปอยู่โรงพักต่างจังหวัดและลดเกรดของโรงพักลงมานั้น ภาษาราชการเขาเรียกว่า “แป้ก” แปลว่าถูกส่งไปดองและหมดโอกาสที่จะเติบโตอย่างที่ควรเป็น แต่เขาก็ไม่ได้หมดกำลังใจในการทำงาน ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานตามปกติ แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เพราะถึงแม้เขาจะทำงาน “ตามหน้าที่” ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ยังไม่ได้ได้ทำงาน “นอกเหนือหน้าที่” อย่างที่ตำรวจที่เขาเจริญก้าวหน้านั้นกระทำกัน ทำให้เขาเจอดีเข้าในวันหนึ่ง เมื่อเขาออกจากเวรในเช้าวันหนึ่ง หลังจากที่ออกตั้งด่านตรวจรถบรรทุกแถวสะพานซังฮี้ เขามาถึงห้องพักหลังโรงพักก็ถอดรองเท้าถอดเสื้อเครื่องแบบตำรวจตัวนอกออก เหลือแต่เสื้อคอกลมขลิบคอสีเลือดหมู อันเป็นชุดฝึกหรือชุดลำลองของตำรวจทั่วไป และใส่กางเกงสีกากีนอนพักผ่อน ขณะที่กำลังเคลิ้มหลับก็มี ว.เรียกมาว่า “ท่านรอง” มาตรวจโรงพัก เขาจึงรีบลุกขึ้น ใส่รองเท้า และลงไปในชุดครึ่งท่อนนั้น เขาถูกท่านรองดุด่าว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย และมารับการตรวจช้ามาก จึงถูกตั้งกรรมการสอบเอาผิด แต่เบื้องหลังนั้นเป็นเพราะเขาไปเหยียบตาปลาของคนใหญ่คนโตบางคนเข้า บ้างก็ว่าคงเป็นเจ้าของกิจการรถบรรทุกสิบล้อที่เคืองพิชิตในการเข้าตรวจค้นรถที่บรรทุกเกินเหล่านั้นอยู่บ่อย ๆ ชะตากรรมของพิชิตยังไม่ได้เลวร้ายจนถึงที่สุด เพราะยังมีสิ่งเลวร้ายกว่านี้ที่เกิดขึ้นกับเขาและครอบครัวอีกมาก