ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาผิด ๆ ย่อมนำมาซึ่ง “มะเร็งร้ายของสังคม” พ่อของพิชิตมีความคิดอยู่เพียงประการเดียวว่า อาชีพตำรวจคืออาชีพที่ดีที่สุด โดยที่สังคมไทยในยุคนั้นกำลัง “บ้าตำรวจ” ตำรวจได้สร้าง “กองทัพ” ขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2491 ไม่เฉพาะแต่ขยายกำลังของตำรวจนครบาลและภูธรขึ้นอย่างมหาศาลในทุกโรงพักแล้ว ยังส่งตำรวจไปควบคุมดูแลในกิจการที่ผู้มีอำนาจอยากทำ ตอนนั้นผู้มีอำนาจได้ส่งพลโทเผ่า ศรียานนท์ ลูกเขยของหัวหน้าคณะปฏิวัติ คือจอมพลผิน ชุณหะวัณ มาคุมกรมตำรวจ และได้สร้างกรมตำรวจให้ยิ่งใหญ่ เป็นอีกกองทัพหนึ่งขึ้นในประเทศ ต่อจาก กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ดังที่ได้มีการขยายงานของตำรวจออกไปในทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นกองบินตำรวจ ตำรวจน้ำ ตำรวจป่าไม้ และตำรวจรถถัง จำนวนตำรวจนั้นมีมากถึงขนาดที่ ตำรวจที่ออกเวรมีเวลาว่างมากพอที่จะไปรับจ๊อบตามร้านทองและร้านค้าต่าง ๆ ตลอดจนบ้านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่(และเงินหนา) ก็นับหน้าถือตากันว่า ใครมีตำรวจมาเกร่ ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่หน้าบ้าน ก็เป็นคนที่ “ใหญ่” ยิ่งนัก เช่นเดียวกันกับสาว ๆ จำนวนมากในสังคมไทยยุคนั้น ที่ “คลั่งเครื่องแบบ” ทั้งทหารและตำรวจที่แต่งเครื่องแบบ ไม่ว่าจะมีชั้นยศระดับใด แต่ตำรวจดูจะได้ใจสาว ๆ มากกว่า เพราะมีทั้งเงินและอำนาจ แม้ว่าทหารจะมีอำนาจมาก และควบคุมอยู่ในการเมืองการปกครองทุกภาคส่วน แต่ตำรวจกลับมีรายได้มั่งคั่งมากกว่า อาจจะเป็นด้วยใกล้ชิดกับพ่อค้าประชาชนมากกว่า ในทุกห้างร้านบ้านตลาด และมีช่องทางในการใช้อำนาจให้คุณให้โทษแก่ประชาชนได้มากกว่า จึงมีช่องทางทำมาหากินได้สะดวก รวดเร็ว และมีรายได้มากกว่า ดังถ้อยความที่พูดกันติดปากว่า “เป็นเมียทหารนับขวด เป็นเมียตำรวจนับแบงก์” ซึ่งก็คงหมายถึงทหารนั้นมีแต่อำนาจ กินแต่เหล้า ส่วนตำรวจเงินทองไหลมาเทมา อนึ่งค่านิยมของคนไทยที่บ้าเครื่องแบบนี้ ได้ลุกลามไปถึงอาชีพที่มีเครื่องแบบอื่น ๆ เช่น พนักงานรถไฟ คนขับรถเมล์ รวมถึงข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย จนแยกแยะไม่ออกว่าเครื่องแบบใครเป็นเครื่องแบบอะไรกันแน่ ความจริงพิชิตเป็นคนรูปร่างเล็กมาแต่ไหนแต่ไร ตอนที่จบ ม.ศ. 3 ที่จะต้องสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ยังมีความสูงไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กำหนด แต่พ่อให้พิชิตไปว่ายน้ำ โหนบาร์ เพื่อยืดตัว จนผ่านเกณฑ์ด้านรูปร่างได้อย่างหวุดหวิด เช่นเดียวกันกับตอนที่คัดแยกลงเหล่าโรงเรียนายร้อย ความสูงของพิชิตก็ยังมีปัญหา จนเกือบจะไม่ผ่านเกณฑ์ แต่เขาก็พิสูจน์ตัวเองว่าเขามีมันสมองที่เป็นเลิศ เพราะการสอบวิชาการต่าง ๆ นั้น เขาได้ลำดับคะแนนที่อยู่ในระดับบนของทุกชั้นเรียนมาโดยตลอด โดยตอนที่จบชั้นปี 4 เป็นว่าที่นายร้อยตำรวจนั้น เขาสอบได้ในระดับท็อปเทน จึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกโรงพักอันดับต้น ๆ ของประเทศได้ ซึ่งเขาก็เลือกไปที่โรงพักพญาไท ย้อนกลับไปในตอนที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารสักนิดหนึ่ง เพราะชีวิตช่วงนั้นมีผลกับพิชิตพอสมควร เพราะพิชิตเกือบจะ “เสียคน” อันเป็นผลจากความคลั่งเครื่องแบบของสาว ๆ นั่นเอง ตอนนั้นที่ในซอยแถวบ้านของพิชิต มีสาว ๆ ที่มาติดพันชอบพอพิชิตอยู่ 2-3 คน คนหนึ่งชื่อขวัญตา ขวัญตาเป็นคนผิวคล้ำแต่หน้าตาสวยบาดใจ และดูเหมือนว่าพิชิตจะชอบขวัญตานี้มากกว่าคนอื่น โดยคนอื่นนั้นชอบพอกับพิชิตมาตั้งแต่ชั้น ม.ศ. 1 แต่ขวัญตาเพิ่งจะมาคบกับพิชิตตอนที่พิชิตเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้นแล้ว แต่พิชิตก็ไม่ได้บอกให้ใครที่บ้านรู้ จนกระทั่งน้องสาวที่เรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกับขวัญตาเอาเรื่องนี้มาบอกแม่ของพิชิต เนื่องจากขวัญตาเที่ยวไปคุยกับใคร ๆ ว่า มีแฟนเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งก็คือพิชิต พอแม่ได้ฟังก็เหมือนมีใครมาจุดไฟเข้าที่ในหัวอก เกรงลูกจะเสียอนาคตในการเรียน ซึ่งทั้งพ่อและแม่ของพิชิตต่างก็วาดหวังไว้ว่า พิชิตจะต้องติดยศสักนายร้อยตำรวจเอกเสียก่อน แล้วจะได้เลือกลูกสาวของผู้ใหญ่หรือคนที่มีชาติตระกูลเสียหน่อย (แต่ความจริงนั้นคือต้องรวย ๆ สักหน่อยนั้นด้วย) อนาคตจะได้พุ่งปรู๊ดปร๊าด แต่ก็ไม่อยากให้พิชิตรู้ว่าไม่ชอบขวัญตา แม่จึงบอกพิชิตในวันหนึ่งว่า แม่ไปดูหมอมา หมอดูบอกเนื้อคู่ของพิชิตต้องผิวขาว คนผิวคล้ำนั้นจะเป็นกาลกิณี แต่พิชิตไม่เชื่อ ยังคบกับขวัญตาต่อไป จนท้ายที่สุดแม่ได้เอาผ้าถุงของแม่แอบคลุมหัวพิชิตขณะนอนหลับในวันหนึ่ง พิชิตรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็โกรธแม่มาก ไม่พูดกับแม่อยู่หลายวัน แต่ก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะจากนั้นไม่นานครอบครัวของขวัญตาก็ย้ายบ้าน ทำให้ไม่ได้เทียวไปเทียวมาหาสู่กับพิชิตเหมือนก่อน ๆ จนกระทั่งพิชิตเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ก็ต้องไปอยู่ประจำที่โรงเรียนจะกลับมาที่บ้านก็ตอนเย็นวันศุกร์ และต้องกลับไปเข้าโรงเรียนในตอนบ่ายวันอาทิตย์ ร่ำลือกันว่าพิชิตมีสาว ๆ ติดพันอยู่อีกหลายคน มีทั้งพยาบาลและครู อันเป็นประเพณีของนักเรียนนายร้อยตำรวจ ที่จะมีงานรื่นเริงในโอกาสต่าง ๆ แล้วเชิญพวกนักศึกษาครูและพยาบาลมาร่วมงานและเป็นเพื่อนเต้นรำ แล้วก็สานสัมพันธ์กันเอง จนติดพันเป็นแฟนกันในที่สุด ซึ่งก็มีอยู่หลายคู่ รวมถึงคู่ของพิชิตกับ “ครูดาว” นั้นด้วย ดาวเป็นสาวเหนือ รูปร่างหน้าตาถือว่าสวยงามในระดับประกวดนางงามต่าง ๆ ได้เหมือนกัน ดาวมาเรียนที่วิทยาครูในกรุงเทพฯ และได้รู้กับพิชิตในงานเลี้ยงของนักเรียนนายร้อยตำรวจนั่นเอง พิชิตต้องแอบคบกับดาว เพราะไม่อยากให้ที่บ้านรู้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเหมือนกับคราวของขวัญตานั้นอีก แต่เรื่องก็มาแตกจนได้ในตอนที่พิชิตไปประจำที่โรงพัก และต้องอยู่บ้านพักของตำรวจหลังโรงพัก มีคนเห็นดาวเข้า ๆ ออก ๆ ที่ห้องพักของพิชิตบ่อย ๆ บางครั้งมาค้างคืนอยู่ 2-3 คืนก็มี จนเรื่องไปถึงหูของแม่ แล้วแม่ก็บุกมาที่ห้อง แต่ก็ไม่เจอดาว เจอแต่ข้าวของเครื่องใช้บางอย่างของผู้หญิง ซึ่งก็ทำให้แม่โกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ รวมถึงไม่กล้าที่จะโวยวายเหมือนเมื่อตอนที่มีเรื่องกับขวัญตา เพราะเกรงว่าลูกชายคือพิชิตจะต้องอับอายขายหน้า และจะเสียอนาคต ตามความมุ่งหวังของพ่อและแม่ ที่อยากจะให้ลูกชายได้เป็นใหญ่เป็นโตต่อไป บางทีเกิดมาเป็นลูกในสังคมไทยนี้ก็มีความลำบากอย่างยิ่ง ด้วยค่านิยมที่ว่าจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ อีกทั้งพ่อแม่ก็ตั้งความหวังไว้กับลูกสูงมาก และอยากจะทำให้ลูกเป็นทุกอย่างที่พ่อแม่มุ่งหวัง ที่บางครั้งก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่มีพ่อแม่คอยช่วยประคับประคองดูแล แต่บางครั้งก็เหมือนกับลูกนั้น “เลี้ยงไม่โต” และนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาต่าง ๆ โดยเฉพาะการที่ลูกถูกตามใจและเอาใจ จนกระทั่งเมื่อถึงคราวที่จะต้องทำอะไรด้วยตนเองก็ตัดสินใจผิดพลาด เพราะพ่อกับแม่เข้ามาแทรกแซงจนมากเกินไปนั่นเอง อย่างที่บางคนเรียกการเลี้ยงดูแบบนี้ว่า “พ่อแม่รังแกฉัน” นี่แหละที่เขาเรียก “พรหมลิขิต” เพราะพ่อแม่นั้นก็ถือกันว่าคือพรหมของลูกนั่นเอง