ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ตำรวจโบราณไม่เคยสูญพันธุ์ แม้โลกจะพัฒนาการมาถึงยุคดิจิทัลนี้แล้ว
พิชิตคือสายพันธุ์ของตำรวจโบราณ เขาเกิดมาในครอบครัวที่เป็นตำรวจกันทั้งบ้าน เพราะผู้ชายในบ้านคือพ่อ ตัวเขา และน้องชาย เป็นตำรวจกันทั้งหมด แต่พื้นฐานของครอบครัวนั้นเป็นชาวนาอยู่ทางภาคอีสาน พ่อของเขาจบแค่ชั้น ป.7 ตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งจบสิ้น เศรษฐกิจย่ำแย่ไปทุกหนแห่ง ผู้คนในต่างจังหวัดหลั่งไหลเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ พ่อของเขาก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น พอลงรถไฟที่สถานีรถไฟหัวลำโพง พ่อก็เดินมาพักที่วัดสามง่าม(ชื่อทางราชการว่า วัดชำนิหัตถการ ตั้งอยู่หัวถนนระราม 1 ใกล้หัวลำโพง) ก็ได้พบกับเพื่อนคนอีสานอีกหลายคนที่มาพักอยู่ก่อนหน้านั้น รุ่งขึ้นก็มีคนพาไปหาเถ้าแก่เจ้าของรถสามล้อถีบ พ่อของพิชิตจึงเริ่มอาชีพเป็นคนถีบสามล้อ ซึ่งก็ทำรายได้ดีพอสมควร คงเป็นด้วยยังหนุ่มแน่น อายุยังไม่ถึง 20 พอดีย่านนั้นมีโรงเรียนกวดวิชาที่สอนแล้วก็สอบเทียบ พ่อของเขาจึงสมัครเข้าไปเรียน ด้วยความสามารถที่เป็นทุนเดิม ทำให้พ่อของเขาสอบจบมัธยมต้นในเวลาเพียงปีเดียว จากนั้นได้ใช้วุฒิมัธยมต้นได้ไปสมัครเข้าเรียนโรงเรียนพลตำรวจ เพียงการสอบครั้งแรกก็สามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจได้ ใช้เวลาเรียนอยู่ 2 ปี พร้อมกับถีบรถสามล้อในเวลาว่าง ก็สามารถเรียนได้จนสำเร็จ ตอนนั้นรัฐบาลกำลังพัฒนากรมตำรวจให้ยิ่งใหญ่ เป็นยุคที่ชื่อว่า “ไม่มีสิ่งใดภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” จึงมีการเพิ่มอัตรากำลังตำรวจขนานใหญ่ และทางการก็ได้บรรจุพ่อของเขาให้ไปทำงานที่สถานีตำรวจภูธรใกล้บ้าน
พ่อของเขาพูดถึงตอนที่เข้ามาเป็นสารถีถีบสามล้อส่งตัวเองเข้าโรงเรียนพลตำรวจว่า เป็นเพราะได้ยินหลวงพ่อเทศนาให้ญาติโยมฟัง “คนอีสานน่ะถูกล้อเลียนมาตลอด เข้ามากรุงเทพฯ ถ้าไม่มาเป็นกรรมกร ก็บวชเป็นพระ” ทำให้พ่อของเขาเกิดฮึด มุ่งมั่นว่าจะเป็นข้าราชการและเป็นใหญ่เป็นโตให้ได้ ซึ่งวิธีการเดียวก็คือต้องเรียนให้สูง ดังที่พ่อของเขาได้ขวนขวายเรียนจนมีวุฒิสอบเข้าเป็นตำรวจได้นั้น ซึ่งพอเป็นตำรวจแล้วก็ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้มียศมีตำแหน่งสูงขึ้น จึงได้สนใจสอบถามพูดคุยและสังเกตดูจากตำรวจรุ่นพี่ ๆ ก็ได้ความรู้ว่า ต้องมีเส้นมีสาย วิธีการก็คือต้องทำให้เจ้านายรัก หมั่นไปหาเยี่ยมเยียน มีของขวัญไปให้ตามโอกาส ให้เจ้านายจำหน้าจำชื่อให้ได้ เวลามีเรื่องมีราวเจ้านายก็จะช่วยคุ้มครอง เวลาเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เจ้านายก็จะได้นึกถึง
พ่อของพิชิตตอนที่ได้มาบรรจุอยู่ในตำบลใกล้บ้านเกิด ก็ได้ไปออกตรวจตราตามหมู่บ้านต่าง ๆ อันเป็นงานในหน้าที่ จึงได้ไปเจอแม่ที่เป็นสาวงามอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง พ่อเทียวไปเทียวมาเพื่อจีบแม่อยู่หลายเดือน จนแม่ยอมตกลงปลงใจและแต่งงานกันในที่สุด ว่ากันว่าพ่อใช้ “เครื่องแบบ” นั่นแหละผูกมัดใจ เพราะพ่อเชื่อว่าคนบ้านนอกชอบคนในเครื่องแบบ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ฝันใฝ่อยากเป็น “คุณนาย” ซึ่งแม่ก็ได้สารภาพในภายหลังว่า พ่อน่ะไม่ได้หล่อเหลาอะไรเลย อาศัยแต่งเครื่องแบบแล้วก็ดูดีมาก ไม่มีหนุ่มคนใดดูโก้หรูเท่าพ่อนั้นอีกแล้ว และดูแล้วพ่อก็น่าจะเป็นคนดี เพราะขยันทำงานและไม่ได้สนใจผู้หญิงอื่นในที่ใด ๆ เลย
หลังแต่งงานกับแม่แล้ว พ่อก็ได้รับข่าวจากกรมตำรวจที่กรุงเทพฯว่า มีการเปิดรับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการหลายตำแหน่งในหน่วยงานที่เพิ่มขึ้นใหม่ด้านการเงินและสวัสดิการ พ่อเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ได้ใกล้ชิดเจ้านายในกรุงเทพฯ เพราะหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ตั้งอยู่บนถนนพระราม 1 ตรงข้ามกับกรมตำรวจนั่นเอง (ปัจจุบันนี้ก็คือบริเวณที่ตั้งของเซ็นทรัลเวิร์ลด์ ใกล้แยกราชประสงค์ ตรงข้ามโรงพยาบาลตำรวจ) ซึ่งตามความเชื่อที่พ่อได้รับการปลูกฝังมา พวกเจ้านายนี่แหละที่จะทำให้พ่อได้ก้าวหน้าก้าวไกลดีกว่าคนอื่น ๆ และพ่อก็ได้รับการโอนย้ายมาดังที่ตั้งใจ ซึ่งก็เป็นจริงตามที่พ่อคาดหวัง เพราะงานที่พ่อทำเป็นงานบริการ จำพวกการเบิกค่ารักษาพยาบาล เงินสวัสดิการ บำเหน็จ บำนาญ และเงินตอบแทนพิเศษต่าง ๆ ทำให้ได้ดูแลการเบิกจ่ายและสัมผัสกับตำรวจที่มาใช้บริการเหล่านั้น โดยเฉพาะที่เป็นนายตำรวจผู้ใหญ่ พ่อก็จะบริการให้ถึงโต๊ะทำงาน ทำให้ได้รู้จักกับนายตำรวจใหญ่ ๆ หลายคน ซึ่งพ่อก็ยังเอารูปถ่ายของนายตำรวจใหญ่ ๆ เหล่านั้นมาติดไว้ที่ฝาผนังห้องรับแขกในบ้าน ที่ตอนนั้นได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านอาคารสงเคราะห์ที่ย่านห้วยขวางนั้นแล้ว เวลาที่แขกไปใครมาที่บ้าน พ่อก็จะชื่นชมบรรดาผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นด้วยความภูมิใจ
พี่น้องทุกคนของพิชิตเกิดที่กรุงเทพฯ พี่สาวคนโตจบวิทยาลัยเทคนิค เขาเป็นคนรองได้เรียนนายร้อยตำรวจสามพราน น้องชายคนต่อจากเขาจบมหาวิทยาลัยเปิด น้องสาวคนสุดท้องจบวิทยาลัยครู ตัวเขากับน้องชายต้องมาเป็นตำรวจตามที่พ่อกำหนด ซึ่งตัวเขาเองก็ชอบและอยากจะเป็นอยู่แล้ว ส่วนน้องชายนั้นเหมือนถูกบังคับ ซึ่งก็ทำให้มีวิถีชีวิตในอาชีพตำรวจที่ต่างกัน เพราะเขาเองก็ต้องถือว่ามีความเจริญก้าวหน้าด้วยดี จบอาชีพที่ยศพลตำรวจตรี แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งมากมายไปกว่านี้ เหมือนเพื่อนในรุ่นบางคนที่ได้เป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจ แต่เขาก็พอใจ เพราะไม่ได้มีเรื่องมัวหมองให้เน่าเหม็นเมื่อเกษียณอายุราชการ
เรื่องของพิชิตที่ผมนำมาเขียนนี้ เป็นตัวแทนของตำรวจ 2 ยุค ซึ่งอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากยุคที่ผมเรียกว่า “ตำรวจอะนาล็อก” มาสู่ยุคดิจิทัล ที่มีตำรวจส่วนหนึ่งพยายามปรับตัว แต่ก็ไม่สามารถที่จะทนแรงบีบบังคับของกระแสตำรวจโบราณ ทำให้ส่วนหนึ่งต้องปรับตัวให้อยู่ไปได้กับกระแสความคิดเก่านั้น ในขณะที่บางส่วนก็ “ก้าวล้ำ” ไปในกระแสโบราณ ที่อาศัยวัฒนธรรมตำรวจแบบเก่า ๆ สร้างอิทธิพลและความมั่งคั่งให้กับตนเอง รวมถึงสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรตำรวจ แม้ขณะนี้ได้เข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งตำรวจก็เป็นอาชีพหนึ่งที่ผู้คนจับตามองและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่าน่าจะต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็ยังมีตำรวจอีกมากที่ยังไม่ยอมปรับตัว และพยายามที่จะอยู่ในความล้าหลังอย่างนั้น เพื่อประโยชน์โภคผลที่หอมหวนในอาชีพที่ทรงอิทธิพลนี้
ปฏิรูปตำรวจนั้นทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็พังเพราะตำรวจนั่นแหละที่ไม่อยากปฏิรูป