วันที่ 25 ต.ค.2564- นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค เรื่อง พระเกี้ยว (ตอนที่ 3) โดยมีข้อความระบุ ว่า...5 เรื่องราวของรัชกาลที่ 5 ผู้สร้างประเทศไทยให้เป็นดินแดนแห่งความเสมอภาพ 1.พระเกี้ยว คือสัญลักษณ์แทนพระองค์ของรัชกาลที่ 5 2.รัชกาลที่ 5 คือสัญลักษณ์แห่ง”ความทันสมัย” 3.รัชกาลที่ 5 คือสัญลักษณ์แห่ง”วิวัฒนาการสู่ความประชาธิปไตย” 4. รัชกาลที่ 5 คือสัญลักษณ์แห่ง”การพัฒนา” 5. รัชกาลที่ 5 คือสัญลักษณ์แห่ง”ความเท่าเทียมกัน” การเลิกไพร่และเลิกทาสเป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเรื่อง”สิทธิมนุษยชน ที่ทำให้ประชาชนได้รับความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน” ก่อนจะปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตย ต้องเริ่มต้นในเรื่องความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของประชาชน ในสมัยโบราณ ประชาชนทุกคนถ้าไม่เป็นทาส ก็ต้องเป็นไพร่ที่มีสังกัดเจ้านายไปตลอดชีวิต และไพร่รับราชการโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ส่วนทาสนั้นยิ่งหนักหนากว่าไพร่ เพราะทาสสามารถซื้อขายกันได้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 นั้น ประมาณว่าไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมืองของประเทศ ถ้านึกภาพไม่ไพร่และทาสไม่ออก ให้นึกภาพพนักงานที่ทำงานราชการหรือเอกชนทุกคนในปัจจุบัน ในอดีตถ้าไม่เป็นไพร่ก็เป็นทาส ที่ทำงานโดยไม่ได้รับผลตอบแทน โดยเฉพาะทาสที่ไม่มีอิสระภาพ แล้วลองจินตนาการดูว่า การที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 จะประกาศให้เลิกไพร่และเลิกทาส เป็นความเสียสละอย่างใหญ่หลวง เพราะคือความเสี่ยงต่อความมั่นคงและปลอดภัยของราชบัลลังก์และพระชนม์ชีพของพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่จะเกิดจากการผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์ ซึ่งก็คือเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย อาจจะก่อจลาจลหรือสงครามกลางเมืองเหมือนสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนในประเทศรบราฆ่าฟันกันเอง แต่พระองค์คำนึง เรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกันของประชาชนของพระองค์เป็นหลัก มากกว่าราชบัลลังก์และพระชนม์ชีพ และด้วยพระปรีชาสามารถทำให้การเลิกไพร่และเลิกทาสในเมืองไทยที่ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำเร็จลงด้วยเรียบร้อยไร้สงครามกลางเมืองที่คนในชาติเข่นฆ่าฟันกันเหมือนในต่างประเทศ ก่อนจะเป็นปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตย ต้องเริ่มต้นในเรื่องความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของประชาชน ซึ่งพระองค์ทำอย่างเข้าใจและค่อยเป็นค่อนไป จนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ คนไทยมีเสรีภาพเท่าเทียมกันทุกคนมาจนถึงปัจจุบัน ประชาธิปไตยก็เช่นกัน ในหลวงรัชกาลที่ 5 เป็นผู้เริ่มต้น แล้วรัชกาลต่อ ๆ มาก็สานต่อ โดยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงทำอย่างเข้าใจและค่อยเป็นค่อยไป แต่คณะราษฎรชุดแรกทั้งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินรัชกาลที่ 5 และต่อมาด้วย คณะราษฎร รศ.130 สุดท้ายคณะราษฎร 2475 ใจร้อนและกระทำอย่างชนิดที่เรียกว่า ชิงสุกก่อนห่าม ทำให้ประชาธิปไตยในเมืองไทยล้มลุกคลุกคลานไม่เคยเต็มใบมาจนถึงปัจจุบัน การที่องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้าย พระเกี้ยว อันเป็นเครื่องหมายแทนในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการใส่ร้าย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ว่า เป็นความล้าหลัง การกดขี่ของชนชั้นปกครอง และความไม่เสมอภาคของความเป็นมนุษย์ เป็นการใส่ร้ายและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างเหิมเกริมและจงใจ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ที่มีพระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ คือผู้ที่เลิกไพร่ เลิกทาส สร้างความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันให้กับสังคมไทย อีกทั้งยังเป็นผู้พัฒนาการปกครองของไทยเป็นแบบสากล ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นผู้เริ่มต้นวางรากฐานประชาธิปไตยให้กับคนไทยและชาติไทย ผู้บริหาร คณาจารย์ นิสิตปัจจุบันและศิษย์เก่า จะนิ่งเฉยหรือยอมรับการกระทำดังกล่าวอยู่ได้อย่างไร มีผู้หลักผู้ใหญ่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่เบื้องหลังหรือให้ท้ายนิสิตในองค์การบริหารึสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทำการดังกล่าว หรือไม่