ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ผ้าเหลืองอาจจะ “ล้างทุกข์” ไม่ได้ทั้งหมด แต่อาจจะ “ล้างมาร” ได้เป็นอย่างดี สมพงษ์ไปวัดทุกวัน โดยบอกกับพี่สาวว่าไปปรนนิบัติหลวงพ่อ แต่คนที่ไปวัดก็ไม่ได้เห็นสมพงษ์อยู่ใกล้ๆ กับหลวงพ่อแต่อย่างใด บางทีก็หายไปทั้งคืน หรือหายไป 2-3 วันจึงกลับเข้าบ้าน พอพี่สาวถามก็ตอบว่า ไปนั่งสมาธิ “บำเพ็ญบารมี” ซึ่งพี่สาวก็ไม่ได้ห่วงมากนัก เพราะดูหน้าตาของสมพงษ์อิ่มเอิบและมีความสุขมากขึ้น อาการเศร้าซึมที่เป็นมาหลายเดือนก็หายไป ดูมีอารมณ์ขันและหัวเราะได้มากขึ้น ทั้งข้าวปลาอาหารก็กินได้ดี ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล เริ่มอ้วนท้วนมีเนื้อมีหนัง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านบางคนบอกว่า นี่แหละ “แสงบารมี” คือคนที่มีบุญจะมีผิวพรรณที่สว่างไสวแบบนี้ วันหนึ่งสมพงษ์จึงบอกพี่สาวว่าจะบวชสักหนึ่งพรรษา เพื่อ “สร้างบารมี” คือให้เป็นผลบุญส่งไปยังเจ้ากรรมนายเวร เพราะที่เขาลำบากมามากมายก็คงเป็นด้วยบาปกรรมต่าง ๆ ที่มายมากนั้นเช่นกัน รวมถึงคนที่ต้องตกทุกข์ได้ยากเพราะเขาก็มีมาก หลายๆ เรื่องเขาทำใจได้ยาก ผ้าเหลืองอาจจะช่วยบรรเทาความทุกข์เหล่านี้ในจิตใจของเขาได้ พี่สาวก็พาไปขออุปสมบทกับหลวงพ่อ และได้บวชทันพรรษานั้นพอดี “หลวงอาสมพงษ์” เป็นพระที่สำรวมมากๆ กิริยามารยาทเรียบร้อย พูดน้อย แต่ถ้าได้เทศน์ก็มีสุ้มเสียงน่าฟัง แม้จะไม่ได้มีเนื้อหาลึกซึ้งอะไร แต่ญาติโยมก็สนใจฟังมาก อาจจะด้วยหน้าตาที่อิ่มเอิบและผิวพรรณที่สดใส ผิดกับผู้คนและพระอื่นๆ ในพื้นถิ่นแถวนั้น ทั้งยังเลื่องลือกันว่า “เป็นผู้มีบุญมาเกิด” เหมือนได้กราบไหว้หน่อเนื้อพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงกระนั้น พอออกพรรษา หลวงอาสมพงษ์ก็ยังไม่สึก แต่ได้หายออกไปจากวัด ร่ำลือกันว่าท่านไปอยู่ที่วัดอื่นแล้ว เพราะเบื่อหน่ายผู้คนที่มารุมล้อมพูดคุยที่วัด แม้ว่าท่านจะไม่ค่อยพูด แต่หลายๆ คนก็แค่มานั่งดูท่านได้เป็นวันๆ บางคนก็แวบไปแวบมาเยี่ยมเยียนอยู่ไม่หยุดหย่อน รวมถึงที่ขนเอาข้าวของต่างๆ มากราบมาไหว้จนล้นกุฏิ แต่คนที่รู้จริงก็มีแต่พี่สาวของท่านเพียงคนเดียว ที่ท่านให้ปกปิดไว้ว่า ท่านได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ จนถึงก่อนจะเข้าพรรษาในปีต่อมา ท่านก็กลับมาที่วัดที่ท่านบวชดั่งเดิม แต่ครั้งนี้กลับมาในสภาพที่พิการ ตาขวาบอดไปข้างหนึ่ง ขาซ้ายลีบเล็ก ต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัว รูปร่างซูบผอมดำเกร็ง ท่านบอกว่าได้ธุดงค์ขึ้นป่าขึ้นเขาไปหลายจังหวัด ไปสนทนาธรรมกับพระในวัดป่าต่างๆ หลายรูป และได้บำเพ็ญสมาธิจนจิตใจเข้มแข็งขึ้นมาก แต่มีวันหนึ่งขณะที่ปักกลดอยู่กลางป่า มีงูเห่าเลื้อยมามาพาดบนตัวท่าน ท่านตื่นขึ้นมาก็ตกใจ ยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อขยับหนี งูก็พ่นพิษออกมาถูกนัยน์ตาของท่าน และยังได้กัดที่ขา ก่อนที่จะเลื้อยหนีไป ท่านได้เอาผ้ารัดประคดมาพันไว้ที่ต้นขา ทำความสะอาดแผล แล้วก็พยุงตัวลงมาบอกชาวบ้านให้ช่วยพาท่านส่งอนามัย ดีที่ว่าที่อนามัยนั้นมีเซรุ่มรักษาพิษงูเห่า และด้วยพิษบางส่วนที่พ่นใส่ตาท่านไปแล้ว เมื่อมากัดที่ขาท่านจึงอ่อนฤทธิ์ลงไป ไม่งั้นก็คงจะมรณภาพไปแล้ว พอปลอดภัยแล้ว ชาวบ้านก็นิมนต์ให้มาอยู่ในวัดที่หมู่บ้าน จนร่างกายแข็งแรงดี ท่านจึงกลับมาหาพี่สาวที่วัดที่ท่านอยู่มาแต่แรก แม้ว่าพี่สาวจะบอกว่าให้ลาสิกขาเสียเถิด ท่านก็บอกว่าคงจะไม่สึกแล้ว และจะขอใช้วาระสุดท้ายของชีวิต “ให้หมดทุกข์” ไปพร้อมกับผ้าเหลืองนี้ เมื่อหลายปีก่อนผมไปราชการที่อำเภอบัวใหญ่ เลยถือโอกาสไปเยี่ยมอาผู้หญิง รวมทั้งได้ไปกราบเยี่ยมหลวงอาสมพงษ์ด้วย ผมใช้เวลาคุยกับท่านอยู่เกือบสองชั่วโมง พอดีใกล้ค่ำ ผมต้องรีบกลับกรุงเทพฯ แต่ก็ได้มีโอกาสกลับไปคุยกับท่านอีก 2-3 ครั้งในรอบ 4-5 ปีนี้ และได้ไปนั่งพูดคุยอยู่กับท่านเป็นเวลานานๆ ความจริงก็คืออยากจะไปช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้ท่าน เอาอาหารดีๆ ไปกราบเยี่ยม แม้ว่าท่านจะไม่ได้ปฏิเสธ (เพราะพระจะปฏิเสธไม่ได้เมื่อญาติโยมใส่บาตร) แต่ก็สังเกตเห็นว่าท่านไม่ได้ฉันเสียด้วยซ้ำ ยังคงฉันแต่ “ผักหญ้า” (คุณอาผู้หญิงเรียกอย่างนั้น คือฉันแต่ข้าวกับผักจิ้มน้ำพริกและผลไม้เป็นหลัก) ซึ่งก็ฉันได้ดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่านมีรูปร่างหน้าตาที่เอิบอิ่มสดใสเหมือนเดิม แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ทำให้ท่านทุกข์ร้อนอะไร ทั้งยังพูดติดตลกว่า “เราคงหน้าตาไม่ดีเหมือนเดิม ไม่มีญาติโยมไปมาหาสู่อย่างมากมายเหมือนเดิม ก็สุขสบายดี” ในครั้งที่ได้ไปพูดคุยกับท่าน ผมจึงได้ทราบรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต อย่างที่ได้นำมาเล่าให้ฟังทั้งหมดนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟังเอง แต่บางเรื่องก็คือเรื่องที่ท่านเล่าให้อาผู้หญิงฟังตั้งแต่ที่มาอยู่กับอาผู้หญิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น แล้วอาผู้หญิงก็มาเล่าให้ผมฟังอีกทอดหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเวลาที่คุยกับท่านและผมซักถามท่านเกี่ยวกับ “ชีวิตส่วนตัว” ท่านก็ดูอึกอัก บ่ายเบี่ยง และเปลี่ยนเรื่องอยู่บ่อยๆ พอซักไปมากๆ ก็บอกว่าลืมไปแล้วบ้าง หรือเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญบ้าง และมักลงท้ายด้วยการฝากหัวข้อธรรมะ ว่า “ปล่อยวางแล้วลืมมันเสีย” เคยถามท่านว่า “การบวชนี้ดีอย่างไร” ท่านตอบว่า “ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรเลยในชีวิตนี้” ทั้งนี้ท่านบวชครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกบวชเมื่อมีอายุครบบวชตอนที่ยังหนุ่มๆ อย่างที่ชาวบ้านบอกว่าบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ท่านก็บวชอยู่ 1 พรรษา ได้เรียนธรรมะบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรเลย เพียงแค่สวดมนต์ ทำวัตรเช้าเย็น และปลงอาบัติตามวิสัยพระใหม่ทั้งหลาย แต่พอมาบวชในครั้งหลังในตอนที่อายุมากๆ และผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมามากๆ ก็ทำให้ท่านพอจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิต นั่นก็คือชีวิตเรานี้ไม่มีอะไรเลย ตอนที่ไปธุดงค์อยู่บนป่าเขาทางภาคเหนือ หลวงพ่อรูปหนึ่งสอนท่านว่า ตัวคนเรานี่ประกอบขึ้นจากดิน น้ำ ลม และไฟ “ดินเปิ้นตุ๊กบ๋อ น้ำเปิ้นตุ๊กบ๋อ ลมและไฟเปิ้นตุ๊กบ๋อ จะอั้นเฮาจะไปตุ๊กอันหยัง” (ดินเขาทุกข์ไหม น้ำเขาทุกข์ไหม ลมและไฟเขาทุกข์หรือเปล่า ดังนั้นเราจะไปทุกข์ทำไม) ยิ่งพอท่านมาถูกพิษงูจนพิการ ท่านก็ยิ่งมองเห็นความจริงในธรรมะเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครสามารถควบคุมอะไรได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แม้กระทั่งตัวเราเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เคยหล่อเคยสวย ก็หมดหล่อหมดสวย ย้อนให้ความหล่อความสวยกลับมาไม่ได้ ท่านเองเคยมองย้อนชีวิตไปในอดีต ก็ไม่เคยมีใครเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ส่วนตัวเราเองก็ทำได้แค่ปรับตัวไปตามสภาพต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ก็แค่ต้องอดทนอยู่และพยายามปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้ ถ้าไม่อยากอยู่ก็ฝืนมันไป ต่อสู้มันไป แล้วเดี๋ยวก็จะดับไปตายไปเอง “ชีวิตและสรรพสิ่งต่างๆ ย่อมต้องประกอบกันอยู่ ประกอบกันเป็นไป และสิ้นไปทุกสิ่งนั้นในที่สุด”