ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล บางทีเราอาจจะเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ดั่งหวัง แต่เราก็อาจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดั่งใจ สมพงษ์ให้สัญญากับตัวเองว่าจะเลิกเหล้าให้เด็ดขาด แต่เขาก็มีปัญหาเรื่องความเหงาและความขัดแย้งในจิตใจ ที่อาจจะเรียกด้วยศัพท์สมัยนี้ว่า “โรคซึมเศร้า” เขาจึงคิดหาใครที่จะมาแทนที่วิภาวรรณ แต่ในจิตใจเขาก็มีความหวาดหวั่นและขาดความมั่นใจเสียแล้ว เขากลัวว่าจะพบกับความผิดหวังอีก แต่ความต้องการของคนหนุ่มมันก็กระตุ้นลุกโหมเผาความรู้สึกของเขาอยู่ตลอดเวลา เขามองลูกค้าสาวไว้คนหนึ่ง เธอเป็นคนใช้ในบ้านผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ แถวตลาดสำโรง เขาเคยไปรับส่งเธอที่ไปจ่ายตลาดอยู่หลายครั้ง ดูหน้าตาแล้วก็น่าจะเป็นคนอีสานเหมือนกัน จึงส่งภาษาถามเธอซึ่งก็ทำให้ทราบว่าเธอเป็นคนบุรีรัมย์ เธอสวยน่ารักแบบที่เขาชอบ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะจีบเธอตรงๆ วันหนึ่งเขาเข้าไปนั่งในร้านลาบส้มตำ จึงลองไปซื้อเบียร์มาขหนึ่ง เพราะนึกขึ้นได้ว่ามันช่วย “ย้อมใจ” ในสมัยที่เขายังดื่มเหล้าอยู่ มันทำให้เขาคึกคักและมีความกล้าหาญ ซึ่งถ้าเขารู้ความหมายของ “สุรา” เขาก็จะรู้ว่ามันแปลว่า “ความกล้า” นั่นเอง วันสงกรานต์ปีต่อมา สมพงษ์เหมือนมีโชคที่หญิงสาวชาวบุรีรัมย์ได้นัดให้ไปรับเธอให้ไปส่งที่สถานีขนส่งหมอชิต (ปัจจุบันคือบริเวณที่เป็นโรงเก็บและซ่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมถึงเป็นลานจอดรถ “จอดแล้วจร” ข้างสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ถนนพหลโยธินตรงข้ามสวนจตุจักร) และได้บอกว่าให้มารับในวันกลับคืออีก 5 วันข้างหน้านั้นด้วย เขาจึงได้ทราบชื่อเธอว่า “ปราณี” ที่เธอเรียกชื่อตัวเองสั้นๆ ว่า “ณี” ด้วยความเป็นกันเองที่เกิดขึ้น ทำให้สมพงษ์ทึกทักเอาเองเช่นเคยว่า ปราณีคงจะมีใจให้แก่เขา ยิ่งไปกว่านั้นปราณียังบอกว่าเธอมีช่วงเวลาที่ได้หยุดวันไหนบ้าง เขาก็ขอนัดเธอไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ส่วนมากก็เป็นสวนสาธารณะในกรุงเทพฯ ไกลสุดก็เคยไปถึงที่บางแสน แบบเช้าไปเย็นกลับ วันหนึ่งเขาพาเธอไปเที่ยวเขาดิน เสร็จแล้วพาไปกินข้าวกลางวันที่ร้านลาบแถววงเวียนใหญ่ ที่เขาเคยทำงานในร้านทำรองเท้าอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อครั้งที่เขาเข้ามากรุงเทพฯใหม่ๆ และได้สนิทสนมกับ “สุทธินี” ลูกเถ้าแก่เจ้าของร้าน ที่ทำเขาอกหักในครั้งแรก สมพงษ์สั่งเบียร์มาดื่ม เพียงสองขวดเขาก็รู้สึกมึนมาก แล้วก็เกิดอารมณ์หนุ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาขับรถแท็กซี่ของเขาพาปราณีเข้าโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง แม้ว่าปราณีจะร้องไห้ห้ามปรามเขาก็ไม่ฟัง ก่อนค่ำเขาก็พาปราณีไปส่งที่บ้านเจ้านาย เขาหมดเงินหยอดเหรียญโทรศัพท์ไปหาปราณีหลายครั้ง แต่ปราณีที่เคยมารับโทรศัพท์ในทุกครั้งก่อนหน้านี้ก็ไม่รับโทรศัพท์เลย แต่มีคนใช้อื่นมารับสายแทน ซึ่งเขาก็บอกว่าเป็นญาติทางบ้าน แต่ดูเหมือนว่าคนที่มารับแทนนั้นก็น่าจะรู้ว่าปราณีมีปัญหาอะไร และปราณีก็คงจะสั่งเสียไว้ไม่ให้รับสายของเขา จนเขาหมดความพยายามและลืมเรื่องของปราณีไปชั่วขณะ กระทั่งอีกสามสี่เดือนต่อมา ในตอนรุ่งเช้า หลังจากที่ส่งรถกะกลางคืนเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับมาที่ห้องเช่าเพื่อพักผ่อนตามปกติ เขาก็เจอปราณีมานั่งรออยู่หน้าห้องเช่า เธอบอกว่าเธอแพ้ท้อง พอเจ้านายซักไซ้เธอก็ตอบไม่ได้ เจ้านายโกรธมากไล่เธอออกจากบ้าน ตอนแรกเธอว่าจะกลับไปอยู่บ้านที่บุรีรัมย์ แต่ก็อับอายผู้คน จึงนึกถึงสมพงษ์ที่เป็นพ่อของเด็กในท้อง ว่าจะมีความคิดช่วยเหลืออะไรได้บ้าง สมพงษ์อึ้งอยู่ครูใหญ่ ทั้งตกใจและดีใจ ตกใจที่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นและไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ก็ดีใจที่รู้ว่ากำลังจะมีลูกและได้ปราณีมาอยู่ด้วย ก่อนที่จะตอบไปว่า “มาอยู่ด้วยกันไปก่อน” ปราณีเป็นคนขยัน เธอทำขนมเปียกปูนและลอดช่องขายที่หน้าปากซอย เพื่อช่วยหารายได้เตรียมไว้ใช้เลี้ยงลูก แต่พอท้องแก่ก็หยุด กระทั่งคลอดลูกแล้วก็ออกไปขายใหม่ สมพงษ์ดีใจมากที่ได้ลูกชาย แต่เขาก็มีปัญหาเรื่องกลับไปติดเหล้า ปราณีก็หวงลูก พอสมพงษ์กินเหล้าเหม็นหึ่งเข้าบ้านมา เธอก็อุ้มลูกหนีไปเสีย สมพงษ์ก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งพอปราณีคลอดลูกแล้ว ก็ยิ่งมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งสวยขึ้นกว่าเดิม และด้วยความเป็นแม่ค้า ทำให้เธอต้องแต่งตัวสวยงาม ลูกค้าประจำก็มีมาก ในจำนวนนั้นก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หลายคน สมพงษ์ก็เกิดความหึงหวง พอกลับมาบ้านก็บ่นก็ว่าปราณีอยู่เป็นประจำ บางทีก็รุนแรงถึงขั้นลงมือตบตี แต่ปราณีก็อดทนมาก ต่อมาก็คลอดลูกสาว จนลูกสาวอายุได้สัก 2 ขวบ และลูกชายก็โตขึ้นได้สัก 4 ขวบ กำลังรับรู้และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว เธอคงกลัวว่าลูกจะซึมซาบเอาความรุนแรงเหล่านั้น จึงได้พาลูกหนีกลับไปอยู่ที่บ้านบุรีรัมย์ ซึ่งก็รู้เรื่องว่าปราณีหนีมาอยู่กับสมพงษ์ตั้งแต่ตอนที่ออกจากบ้านนายจ้างนั้นแล้ว และก็ทราบถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับปราณีนั้นมาตลอด ทำให้สมพงษ์เสียใจมากและก็ยิ่งดื่มเหล้าหนักขึ้นไปอีก สมพงษ์ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงในวันหนึ่ง ตัวเขาต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นเดือน พอรักษาตัวหายออกมาก็ต้องไปติดคุกชดใช้หนี้ค่าซ่อมรถที่เขาไม่มีจ่ายอยู่ปีกว่า เขาถูกยึดใบขับขี่และไม่สามารถขับรถสาธารณะได้อีกต่อไป เขาหันกลับไปทำงานรับจ้าง แต่เขาก็ใช้แรงมากๆ ไม่ได้ เพราะร่างกายไม่แข็งแรงและสมบูรณืเหมือนเดิม เขาหันเข้าหายาบำรุงกำลัง ที่มีคนแนะนำว่าต้องผสมดื่มกับเหล้า ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจอีกครั้งว่าจะเลิกดื่มเหล้านั้นแล้ว แต่เขาก็ฝืนใจดื่ม แม้เขาจะทำงานดึกดื่นข้ามคืนได้ แต่ร่างกายเขาก็ยิ่งแย่ลง เขาติดเชื้อวัณโรค เขากลับไปบ้านที่โคราชแจ้งข่าวร้ายนั้น ทางบ้านก็หยิบยืมเงินทองพาไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง เขาถูกตัดปอดออกข้างหนึ่ง แล้วกลับมาพักฟื้นที่บ้านจนพอแข็งแรงขึ้น แต่เขาก็ทำงานหนักไม่ได้ เขาพยายามจะช่วยทำนาและงานในไร่นา เช่น เลี้ยงควาย ปลูกผัก แต่ก็ทำได้ไม่ดี กลายเป็นว่าไปสร้างปัญหาในงานเหล่านั้นเสียอีก เขาเคยไปเยี่ยมปราณีกับลูกที่บุรีรัมย์ เผื่อว่าจะคืนดีกันได้ แต่ก็ไม่เป็นผล เขาเคยคิดอยากจะไปก่อคดีอะไรแรง ๆ แล้วให้ติดคุกตลอดชีวิต เพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระกับใครที่บ้าน กระทั่งเคยคิดจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาไปจากโลกนี้ วันหนึ่งเขาไปเยี่ยมพี่สาวที่แต่งงานไปมีครอบครัวอยู่ที่อำเภอบัวใหญ่ เขาหวังแต่เพียงว่าจะหลบหนีการค่อนขอดของผู้คนในหมู่บ้านเดิมที่เขาหนีมานั้นสักพัก พี่สาวก็ดีใจหาย รู้ว่าเขาทำงานอะไรไม่ได้ หรือถ้าทำแล้วก็มีปัญหา จึงให้เขานอนอยู่กับบ้านเฉย ๆ แต่หลาย ๆ วันเข้าเขาก็หงุดหงิด เขาเดินไปที่วัดประจำหมู่บ้าน วัดนี้เป็นวัดป่า เพิ่งจะมีหลวงพ่อรูปหนึ่งมาบุกเบิกถางพง สร้างศาลาและอุโบสถง่าย ๆ ขึ้น มีกุฏิตั้งกระจายไปในป่ากว้าง 4-5 หลัง และมีพระมาอยู่เพียงจำนวนกุฏิ คือ 5 รูปเท่านั้น แต่ก็มีชาวบ้านไปทำบุญและฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวัน สมพงษ์ได้มาเปลี่ยนชีวิตที่นี่ ไม่ใช่เพื่อหนีไปจากโลกนี้ แต่เพื่อที่จะอยู่สู้กับปัญหาต่าง ๆ ในโลกนี้ต่อไป