ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “ด้านในของความรู้สึกคือความงามอันหยั่งลึก...ที่ฉายให้เห็นถึงรูปรอยแห่งภาษาของหัวใจ...มันคือเจตจำนงอันบริสุทธิ์ที่ขยายกว้างสู่โลกของการตระหนักรู้ ในนามของกวีนิพนธ์...ผลงานศิลปะแห่งการสรรค์สร้างอันแนบเนาไปด้วยมวลอารมณ์...ผ่านมิติอันนบน้อมของชีวิต...กลายเป็นท่วงทำนองแห่งบทเพลงขับขานนานา...ล่วงสู่ความจริง ล่วงสู่ความฝัน ที่เป็นทั้งความสุขล้ำ และเป็นทั้งความทุกข์เศร้าที่ถูกจองจำ...” สาระแห่งนัยของความเป็นกวีนิพนธ์เบื้องต้น..ล้วนคือประสบการณ์ที่ถูกเฝ้ามองจากสายตาของชีวิตอันพินิจพิเคราะห์ก่อนที่จะถูกกลั่นออกมาเป็นถ้อยคำสำนึกโดย “สยมภู ฤกษ์ใหญ่”ในกระบวนทัศน์แห่งท่วงทำนองของความเป็นตัวตนที่ส่องประกายออกมาเป็น “ฉันคือบทกวี”...รวมกวีนิพนธ์อันทรงคุณค่าในสัมผัสรู้ต่อการรับรู้ที่มีชีวิตเป็นดั่งประสบการณ์สุดหยั่งในความเป็นจริงแห่งความรู้สึกจริง...ที่แท้ “ข้าเฝ้ามอง ห้วงน้ำลึกสุดหยั่งในดวงตาเจ้า/โปรดให้อิสระแก่ข้า ที่จะรักและเทิดทูนเจ้า/ผู้ซึ่งยอมวายชนม์เพื่อหนึ่งจุมพิต/...เช่นกระต่ายที่จับจ้องเรียวเดือนจนสิ้นใจ/เพื่อชวาลาแห่งรักได้ปลดปล่อยชีวิต ที่ถูกจองจำ” “สยมภู”สร้างความรู้สึกสู่กวีนิพนธ์ด้วยพลังคำที่จดจ่อและตรึงแน่นอยู่กับกลิ่นอายของความรู้สึก แฝงฝังไว้ด้วยแก่นแกนของอารมณ์ลึกที่สะท้านสะเทือน..ผ่านความละเอียดอ่อน...กระทั้งหลอมรวมเป็นความเข้มข้นต่อผัสสะของกาลเวลา “บทกวีแปรค่าเป็นผ้าห่ม/ปกป้องคราวหนาวลมคอยห่มให้/นอนแนบซบอบอุ่นละมุนละไม/ยามสวมกอดสองใจจึงใกล้กัน/ให้ถ้อยคำบทกวีที่ฉันรัก/พาเธอผ่านอุปสรรคในทางฝัน/น้อยก็หนึ่งความห่วงใยสายสัมพันธ์/ร่วมแบ่งปันตักอุ่นกันหนุนนอน” สัมผัสแห่งลีลาความรู้สึกของกวีสู่รสชาติของความเป็นกวีนิพนธ์ในแต่ละบท...ล้วนคือบทตอนที่ก่อร่างสัมพันธภาพแห่งการมีอยู่ระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งหนึ่ง ที่ละเมียดละไม...โครงสร้างของการสร้างสรรค์ในลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นอย่างพร่างตา ในรอยทางแห่งรวมกวีนิพนธ์ชุดนี้..มันเป็นชุดความคิดอันส่องแสงถึงความเป็นสุนทรียะอย่างตั้งใจ.. “ในฝันหวานผ่านบทกวีที่มีอยู่/ใจสัมผัสรับรู้ละเอียดอ่อน/รุ่งอรุณอุ่นชีวาความอาทร/ปันรักสู่สัญจรร่วมชะตา/เมื่อบทกวีผลิบานในใจแล้ว/ดวงตาเธอวาวแววสวยล้ำค่า/ความอ่อนโยนบอกผ่านกาลเวลา/แต้มรอยยิ้มไร้เดียงสาบนแก้มงาม” หนทางแห่งประสบการณ์ชีวิต ที่โยงใยขับเคลื่อนไปในความรู้สึก คือ แรงขับอันสำคัญด้านหนึ่งที่ทำให้รวมกวีนิพนธ์ชุดนี้ มีภาวะอาการ...ที่ผสานเข้ากับจิตวิญญาณที่ขับเคลื่อนอยู่กับวัฏจักรของชีวิตอย่างไม่สามามารถแยกออกจากกันได้...นั่นคือวิถี แห่งการเรียนรู้ที่จะต้องขยับหัวใจไปรองรับในทุกๆเมื่อ... “ดูสิที่รัก มรรคานั้นว้าเหว่/เราแรมรอนร่อนเร่สู่หนไหน/มาพบ พบเพื่อพรากจากดวงใจ/เจ็บปานใด เบื้องหน้าข้าฯไม่รู้/ดูสิโฉมสะคราญ/กุหลาบงามเบ่งบานเพียงชั่วครู่/มิทันไรกลีบงามพลันพร่างพรู/เพลงกำสรวลก้องอยู่ชั่วกัปกัลป์/ สุดอาลัยนัยนา ข้าฯเคยมอง/จักมัวหมองร้างไกลหัวใจสั่น/ชีวิตทิ้งปรารถนา ความจาบัลย์/สารพันกร่อนกินทั้งวิญญาณ” หากเราต่างคิดว่า การเกิดมาเป็นชีวิตหนึ่งคือชะตากรรมอันลุล่วงหรือฟันฝ่า เราก็จะพบความหมายของชีวิตที่ว่า...ดวงใจของเรานั้นจำเป็นต้องรับรู้หนทางของการก้าวย่างอย่างพินิจพิเคราะห์...การสงบใจเพ่งมองวิถีแห่งสัจจะด้วยรากเหง้าของศรัทธาอันยั่งยืนของชีวิต จะช่วยให้การตีความโจทย์แห่งปมปัญหาของสรรพสิ่งได้ว่ายวนอยู่กับแสงฉายของข้อประจักษ์อันเห็นแจ้ง... “ผีเสื้อ ทนทุกข์เทวษชีวิต/ชะตากรรมลิขิตให้ประจักษ์/ติดในคราบคืนวันอันอัปลักษณ์/ก่อนทั้งปวงหน่วงหนักผ่านพ้น/เฝ้าถนอมปีกคู่งามไว้/เพื่อบอกรักดอกไม้ก่อนร่วงหล่น/ถอนคำสาปจองจำระกำทน/ด้วยความรักท่วมท้นทั้งดวงใจ/เจ้าหิ่งห้อย.../กลางโคลนตมเฝ้าคอยฝันใฝ่/เกินกว่าค่อนชีวาโรยราไป/เก็บถนอมแสงในชวาลา” นิยามแห่งความเป็นกวีที่ทอดผ่านสายธารแห่งความเป็นกวีนิพนธ์ถือเป็นเรื่องที่น่านับถือและควรค่าแก่การสืบค้นถึงรากเหง้าทางความคิดอย่างยิ่ง มันคือปัจจัยที่ฉาบแต้มและโอบประคองเนื้อในแห่งความเป็นตัว ผ่านความจริง และความฝัน ที่ผสานตัวตนให้เข้ากับโลก...และหากใครก็ตามหลุดหายไปจากการเคลื่อนขยายของโลกดั่งนี้...นั่นก็แสดงถึงว่า...ความจริงอันล้ำลึกย่อมมีคุณค่าเสมอในความรู้สึกแห่งใจของทุกคน “โอ้ กวี/ผู้เร่ร่อนบนเส้นแบ่งของสองโลก/ผู้มิอาจผสานตัวเข้ากับโลกได้/ทั้งความจริงและความฝัน/ดั่ง ฟองที่ถูกผลักไส/จากเกลียวคลื่น ไร้การโอบกอดจากผืนทราย/แหลกสลาย อย่างว่างเปล่า/เดียวดาย.../” เราต่างมีเส้นแบ่งบนเส้นทางแห่งอนาคต เป็นเส้นแบ่งที่ทอดยาวไกล ลิขิตชะตากรรมอันทบซ้อน...นั่นคือหนทางที่สืบทอดของมโนสำนึกที่ลับเร้น...ขณะหนึ่งในความเคลื่อนไหวของสำนึกแห่งกวีย่อมมีเศษซากของความผุกร่อน ปรากฏให้เห็นเป็นความกระตุ้นเตือนอันเจ็บร้าวอยู่เสมอ..ดั่งนักเดินทางที่มิอาจหยั่งรู้ปลายทางของชีวิตตน “นักเดินทางมิอาจหยั่งรู้ปลายทาง นักเดินเรือมิอาจรู้ความลึกของทะเล. นกมิอาจรู้ความกว้างของขอบฟ้า เมื่อรักเธอแล้ว ฉันไม่รู้หรอกว่า ต้องเจ็บปวดแค่ไหน” “สยมภู”ประกอบสร้างกวีนิพนธ์แห่งรักให้เข้ากับจิตวิญญาณของความเป็นสัญญะอันหนักแน่น...ด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันเพรียวบางของกวี ด้านหนึ่งมันคือการแสดงออกของการรับรู้ที่เป็นดั่งคลื่นลมอันบริสุทธิ์ ส่วนอีกด้านหนึ่งมันคือเมฆดำอัน จมดิ่งอยู่กับอัตตาที่ติดตรึงของชีวิตที่ไม่อาจหลุดพ้น...ข้อเปรียบเทียบที่กลบกลืนกันอยู่นี้คือความหมายที่เร้นซ่อนอยู่ใต้ปฐพีของชีวิต ที่จักต้องขุดค้นมันขึ้นมาสู่แสงสว่างแห่งความจริงให้จงได้ “จะซุกซ่อนหัวใจอย่างไรได้/หากข้าฝังมันไว้ใต้ผืนดิน/เจ้าคงขุดมันขึ้นมา ด้วยแววตาแหลมคมคู่นั้น/หากข้าซ่อนมันไว้ในแผงคอม้าป่า/ที่วิ่งเตลิด ในทุ่งหญ้าอันเสรี/บ่วงบาศปรารถนา รอยยิ้มของเจ้า/คงปราบพยศมันเสียสิ้น/หากข้าซ่อนมันไว้ปลายปีกนก/ที่หนีหนาวมาจากทางเหนือ/นกเคราะห์ร้ายตัวนั้น ก็คงต้องเกาทัณฑ์/ด้วยเสียงกระซิบของเจ้าร่วงลงมา/ข้าอยู่ตรงนี้.../หัวใจของข้าอยู่ในทรวงอก/ต่อสิ่งทั้งมวลเบื้องหน้า นั่นเพียงพอแล้ว/หากข้าจะควักหัวใจออกมา ให้เจ้าบดขยี้” “ฉันคือบทกวี”...นับเนื่องเป็นรวมบทกวีที่เปี่ยมเต็มไปด้วยพลังแห่งความรู้สึก...ความอ่อนโยนหรือแน่นหนักใดๆคือแรงขับเคลื่อนของกวีนิพนธ์ที่โลดทะยานไปข้างหน้าด้วยน้ำคำที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง สื่อแสดงถึงศักยภาพของผู้เป็นกวีที่โบยตีประสบการณ์ชีวิตต่างๆ ให้ขยายและแตกตัวสู่ความเป็นเลือดเนื้อทางอารมณ์ความรู้สึก ที่ทั้งเบ่งบานและโบกโบยมวลกลิ่นทางความรู้สึกแห่งสำนึกร่วมด้านผัสสะ..ให้กลับกลายสู่ความเกื้อหนุนอันถาวรของความทรงจำ...แม้ว่า”สยมภู”จะผลิตซ้ำนัยสำนึกในหลายๆบทตอน...และความหมายทางความรู้สึกหลายๆความหมายก็ก่ายเกยกันจนรู้สึกได้ถึงความรกเรื้อ...แต่นั่นก็เป็นเพียงรอยตำหนิในเศษเสี้ยวของจุดมุ่งหมายแห่งกวี ในการรังสรรค์ผลงานของเขา...ด้วยความรู้สึกแห่งใจอันสถาพรและเป็นเสน่หา “ ข้าก้มหัวให้ความงามและความรัก ยามกุหลาบต้องลม ราวสุคนธรส ปอยผมเจ้า ในอกข้าเหมือนดั่งถูกพายุกระหน่ำ ด้วยความหวัง ความสิเน่หา ทั้งที่รู้ว่าเจ้าไม่มีเยื่อใย ให้ธุลีที่ฟุ้งจากการเหยียบย่ำของเจ้า” ส่วนที่โดดเด่นประการหนึ่งในรวมกวีนิพนธ์ชุดนี้...คือการแสดงถึงภาวะพาดผ่านทางวัฒนธธรมสำนึกที่เสริมแต่งคุณค่าแห่งการรับรู้ของผู้เป็นกวีให้หนักแน่น...ถึงสาระเนื้อหาอันเป็นสากลที่ได้เน้นย้ำถึงกระบวนทัศน์ที่เปิดเส้นทางออกไปสู่โลกกว้าง...อันเป็นเสรีแท้จริง “โบยบินไปเถิดJonathan/กางปีกท่องทะยานแสวงหา/ความเจ็บปวดร้าวรานที่ผ่านมา/สายลมจะเยียวยาดวงใจเธอ/แสงตะวันจะโอบกอดสองปีกฝัน/ปณิธานยังคงมั่นอยู่เสมอ/กู่ร้องก้องในอกนกละเมอ/อุปสรรคที่เจอฝ่าข้ามไป/โบยบินเพื่อให้ใจได้รับรู้/วิถีการต่อสู้อันยิ่งใหญ่/ขอบฟ้ามิอาจครองเป็นของใคร/พิชิตด้วยดวงใจโชนไฟนี้” นี่คือรวมกวีนิพนธ์..ที่มีคุณค่าในตัวตนเล่มหนึ่งแห่งยุคสมัย...แผ่ขยายการหยั่งรู้ในปริศนาของชีวิตสู่การเดินทางไกลของจิตวิญญาณ ถ้อยคำสำนึกแห่งกวีนิพนธ์จากเลือดเนื้อแห่งความคิดของความเป็นกวี ส่องประกายใจทางความรู้สึกออกมาสู่จุดหมายปลายทางของความประจักษ์แจ้ง...ในความเป็นเสรีแห่งจิตวิญญาณอันสงบงาม...เยี่ยงนั้น... “ตามสัญชาตญาณ/มีสิ่งใดเล่าจักกักขังวิญญาณเสรี กาลเวลาเหมือนลูกธนูพุ่งออกจากแล่ง/วัยหนุ่มสาวจะคว้าสิ่งใดไว้ได้???”