สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ / ผอ.พอช.ชี้แจงบ้านมั่นคงคลองลาดพร้าวทำให้ชาวบ้านมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง เปลี่ยนจากผู้บุกเป็นผู้เช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์อย่างถูกกฎหมาย ระยะเวลาเช่าช่วงแรก 30 ปี และสามารถเช่าต่อได้อีก ยืนยันโครงการไม่ทำให้ชุมชนล่มสลาย เพราะสามารถอยู่ในชุมชนเดิมได้ ส่วนชุมชนที่ไม่มีพื้นที่เพียงพอสามารถรวมกลุ่มกันหาซื้อที่ดินและสร้างบ้านใหม่ในราคาที่ถูกกว่าทวาน์เฮ้าส์ทั่วไปกว่า 2 เท่าตัว เผยขณะนี้สร้างบ้านเสร็จไปแล้ว 18 ชุมชน รวม 1,047 ครัวเรือน ด้านกองอำนวยการร่วมพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวฯ แจงจะดำเนินคดีเฉพาะแกนนำที่คัดค้านและเจ้าของบ้านเช่าที่เสียประโยชน์ เพราะทำให้การสร้างเขื่อนระบายน้ำ กทม.ล่าช้า ตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นำตัวแทนนักกฎหมายและตัวแทนชาวชุมชนริมคลองต่างๆ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยให้ตรวจสอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการบ้านมั่นคง โดยอ้างว่าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากถูกกรมธนารักษ์แจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านที่สร้างบ้านบุกรุกที่ดินริมคลองซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้ชุมชนล่มสลาย นอกจากนี้ยังทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้จากการเข้าร่วมโรงการบ้านมั่นคง เพราะต้องกู้ยืมเงินจากธนาคารไม่ต่ำกว่าหลังละ 500,000 บาท และยังเป็นการเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ อายุการเช่า 30 ปีนั้น วันนี้ (29 ธันวาคม) นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีโครงการบ้านมั่นคงว่า โครงการบ้านมั่นคงริมคลองเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำของรัฐบาล โดยรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะขึ้นมาในปี 2558 มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธานโครงการดังกล่าวในช่วงแรก (พ.ศ.2559-2562) ประกอบด้วย การก่อสร้างเขื่อนคอนกรีต ค.ส.ล. และประตูระบายน้ำในคลองลาดพร้าว (คลองบางบัว-คลองถนน-คลองสอง) และคลองบางซื่อ ระยะทางทั้งสองฝั่งประมาณ 45 กิโลเมตร จากอุโมงค์เขื่อนยักษ์พระราม 9 เขตวังทองหลาง ไปยังประตูระบายน้ำคลองสองสายใต้ เขตสายไหม เพื่อระบายน้ำเข้าสู่อุโมงค์พระราม 9 และอุโมงค์บางซื่อ ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและลงทะเลต่อไป ซึ่งขณะนี้โครงการอยู่ในระหว่างดำเนินการตอกเสาเข็มเพื่อก่อสร้างเขื่อน โดยมีสำนักการระบายน้ำ กทม.ดูแลโครงการ (บริษัทริเวอร์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ประมูลงานได้ วงเงิน 1,645 ล้านบาท) ขณะที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดทำแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยของประชาที่จะต้องถูกรื้อย้าย เนื่องจาก พอช.มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยทั้งในเมืองและชนบท ในรูปแบบ ‘บ้านมั่นคง’ มาตั้งแต่ปี 2546 รวมทั้งได้แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในชุมชนริมคลองบางบัว เขตบางเขน (คลองลาดพร้าว) มาก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาร่วมสนับสนุน รวม 8 หน่วยงาน เช่น กรมธนารักษ์ ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลที่ดินราชพัสดุริมคลองที่มีประชาชนบุกรุกเข้าไปสร้างบ้านเรือน โดยกรมธนารักษ์จะให้ชาวบ้านเช่าที่ดินในระยะยาวและราคาถูก เปลี่ยนจากผู้บุกรุกเป็นผู้เช่าอย่างถูกกฎหมาย, กรมส่งเสริมสหกรณ์ สนับสนุนให้ชุมชนจัดตั้งเป็นสหกรณ์เคหสถาน เพื่อให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล สามารถทำนิติกรรมต่างๆ และบริหารจัดการที่อยู่อาศัย (คล้ายกับนิติบุคคลบ้านจัดสรร) คสช. และตำรวจ ในฐานะหน่วยงานด้านความมั่นคง รวมทั้งสำนักงานเขตของกรุงเทพมหานครในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการ “โครงการบ้านมั่นคงมีหลักการสำคัญ คือ 1.ชุมชนที่มีพื้นที่เหลือจากการก่อสร้างเขื่อนฯ และสามารถอยู่อาศัยในที่ดินเดิมได้ ชาวบ้านจะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนเพื่อปรับผังชุมชนและก่อสร้างบ้านใหม่ เพราะที่ดินในชุมชนริมคลองมีจำกัด บ้านที่มีขนาดใหญ่จะต้องเสียสละ เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่อาศัยในที่ดินเดิมได้ และจะได้บ้านขนาดเท่ากัน 2.ชุมชนที่ไม่สามารถอยู่อาศัยในที่ดินเดิมได้ อาจจะรวมตัวกันไปซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านใหม่ และ 3.เข้าอยู่ในโครงการของการเคหะแห่งชาติที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว เช่น บ้านเอื้ออาทร ซึ่งทั้ง 3 แนวทางนี้ พอช.จะมีงบสนับสนุนการก่อสร้างบ้านและให้สินเชื่อในการสร้างบ้านและซื้อที่ดิน” ผอ.พอช.ชี้แจง ผอ.พอช.กล่าวต่อไปว่า โครงการบ้านมั่นคงไม่ได้ทำให้ชุมชนริมคลองล่มสลายแต่อย่างใด เพราะชุมชนส่วนใหญ่เมื่อรื้อบ้านออกจากแนวเขื่อนแล้ว ยังสามารถอยู่ในชุมชนเดิมได้ โดยเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ประมาณตารางวาละ 1.50 - 2 บาทต่อเดือน ระยะเวลาเช่าช่วงแรก 30 ปี และสามารถต่อสัญญาเช่าได้อีก 30 ปี โดยขณะนี้สร้างบ้านเสร็จไปแล้ว 18 ชุมชน รวม 1,047 ครัวเรือน นอกจากยังมีชุมชนที่ย้ายไปซื้อที่ดินใหม่ในเขตสายไหมและคลองสามวา จำนวน 5 แปลง รวม 1,138 ครัวเรือน ซึ่งชุมชนที่ซื้อที่ดินและสร้างบ้านใหม่จะได้กรรมสิทธิ์เป็นของตนเอง และชุมชนที่ย้ายไปอยู่โครงการบ้านเอื้ออาทรสายไหม 2 ชุมชน รวม 30 ครัวเรือน ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดยมีเป้าหมายทั้งหมด 52 ชุมชน จำนวน 7,081 ครัวเรือน ทั้งนี้ พอช.สนับสนุนงบพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้แก่ชาวบ้านครัวเรือนละ 50,000 บาท งบอุดหนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยครัวเรือนละ 25,000 บาท งบแบ่งเบาผู้ได้รับผลกระทบครัวเรือนละ 72,000 บาท นอกจากนี้ยังสนับสนุนสินเชื่อครัวเรือนละ 360,000 บาท ผ่อนชำระคืนภายใน 20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี ส่วนแบบบ้านมีทั้งบ้านแถวชั้นเดียว และบ้านแถวสองชั้น ขนาดประมาณ 4 x 6 ตารางเมตร และ 4x7 ตารางเมตร ราคาบ้านตั้งแต่ 180,000 บาท (บ้านชั้นเดียว) จนถึง 450,000 บาท (บ้านสองชั้นในที่ดินใหม่) ขณะที่ราคาบ้านทาวน์เฮ้าส์ขนาด 2 ชั้นในกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท “โครงการบ้านมั่นคงทำให้ชาวบ้านได้มีที่อยู่อาศัยใหม่ที่มั่นคง เปลี่ยนจากผู้บุกรุกเป็นผู้เช่าอย่างถูกกฎหมาย และรัฐบาลก็สามารถสร้างเขื่อนระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมได้ ส่วนชาวชุมชนก็สามารถเลือกได้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เช่น รวมกลุ่มกันไปซื้อที่ดินแปลงใหม่ เพื่อสร้างบ้านอยู่ร่วมกัน จึงไม่ได้ทำให้ชุมชนล่มสลายแต่อย่างใด นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะเข้าไปสนับสนุนชาวชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น สนับสนุนเรื่องอาชีพเสริมเพื่อให้มีรายได้ ส่งเสริมเรื่องกิจกรรมเด็ก เยาวชน สตรี และผู้สูงอายุ รวมถึงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมริมคลอง เพื่อให้ลำคลองใสสะอาด และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำได้” นายสมชาติกล่าวในตอนท้าย ส่วนกรณีกรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของที่ดินราชพัสดุได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ชาวชุมชนริมคลองตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 โดยการเข้าไปยึดถือครองที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เช่น ที่ริมตลิ่ง ทางน้ำ คลอง ฯลฯ ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่ดินและกฎหมายอาญา มีอัตราโทษจำคุก 3 - 5 ปี โดยที่ผ่านมากรมธนารักษ์แจ้งความร้องทุกข์ไปแล้วประมาณ 70 ราย สน.สายไหม 1 ราย, สน.พหลโยธิน 12 ราย, สน.บางเขน 23 ราย สน.ดอนเมือง 9 ราย, สน.วังทองหลาง 4 ราย สน.ห้วยขวาง 1 ราย สน.ทุ่งสองห้อง 7 ราย ฯลฯ ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาส่วนใหญ่เป็นเจ้าของบ้านเช่าในชุมชนริมคลอง ประมาณ 30 ราย เป็นแกนนำชุมชนที่คัดค้านโครงการประมาณ 15 ราย ส่วนที่เหลือเป็นเจ้าของบ้านที่ขัดขวางไม่ยอมรื้อย้ายบ้านและไม่ร่วมโครงการ เช่น ชุมชนร่วมมิตรแรงศรัทธา เขตดอนเมือง, ชุมชนสะพานไม้ 2 เขต หลักสี่ ฯลฯ ทั้งนี้มีรายงานข่าวจากคณะทำงานกองอำนวยการร่วมพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวและริมฝั่งเจ้าพระยา ซึ่งมี พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะรองผู้อำนวยการฯ ชี้แจ้งว่า การดำเนินคดีกับชาวชุมชนจะเน้นที่กลุ่มแกนนำที่คัดค้านและกลุ่มเจ้าของบ้านเช่าที่เสียผลประโยชน์ เนื่องจากทำให้โครงการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำของ กทม.ล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนงาน แต่หากผู้ที่ถูกแจ้งความให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะหาทางผ่อนปรนช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน สำหรับผู้ที่ขาดเจตนาหรืออยู่อาศัยมานานตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ “ส่วนผู้ที่รู้ตัวเองว่าไม่มีเอกสารสิทธิ แต่มีเจตนาจะดื้อดึง ขัดขวางการพัฒนาคลอง กรมธนารักษ์ในฐานะเป็นผู้เสียหายจึงต้องแจ้งความดำเนินคดี โดยเฉพาะพวกนายทุน เจ้าของห้องเช่า เก็บเงินค่าเช่าเดือนละ 2-3 พันบาทต่อเดือน มีห้องเช่าเป็นสิบห้อง พวกบ้านใหญ่ไม่ยอมรื้อย้าย พวกนี้จะต้องดำเนินคดีโดยเร็ว สำหรับแกนนำหรือผู้ที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองและไปให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับประชาชน หรือยุงยงให้ประชาชนคัดค้านหรือไม่ยอมเข้าร่วมโครงการ เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณาว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ หากมีความผิดก็จะพิจารณาดำเนินคดีต่อไป แต่หากเป็นการให้คำแนะนำตามมนุษยธรรมก็สามารถทำได้” รองผู้อำนวยการฯ กล่าว