“คนรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยเท้าคนในอดีต”
ความเห็นที่น่าสนใจจาก อาจารย์เพชร โอสถานุเคราะห์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เกี่ยวกับระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของไทย
อาจารย์เพชรกล่าวว่า กรอบความคิดดั้งเดิมสองเรื่องคือ “ต้องสอบเอ็นทรานซ์-แอดมิชชั่น เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยรัฐ” กับ “ค่านิยมที่มองว่าปริญญาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เรียนอะไรก็ได้ให้จบปริญญา” ยังครอบงำพ่อแม่ผู้ปกครอง และส่งต่อกรอบคิดเช่นนั้นสู่คนรุ่นลูก ระบบการศึกษาของไทยจึงย่ำอยู่กับที่
3) เปลี่ยนการสอนเป็นการเรียนรู้ พูดคุยระดมความคิด ถกเถียงกันมากกว่าให้ฝ่ายหนึ่งพูดอีกฝ่ายหนึ่งฟังไปเงียบๆ และจดจำ เปลี่ยนให้คณาจารย์ทำหน้าที่ “โค้ช” ชี้นำนักศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ สิ่งใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่จะเกิดขึ้นได้
4) สร้างโอกาสและเครือข่ายงาน โดยเน้นการเรียนผ่านการลงมือทำตั้งแต่เข้ามาเรียนปีหนึ่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องมี ecosystem ที่แข็งแกร่งมีพันธมิตรทางการศึกษาที่หลากหลายเพื่อมีส่วนสร้างเครือข่ายงาน สถานที่ฝึกและทำงานจริงให้นักศึกษา
“ระบบการศึกษาไทยต้องฝึกให้เด็กคิดเองให้เป็น ให้รู้จักคิดนอกกรอบ … กล้าเดินในทางที่ไม่มีใครเดินมาก่อน” อาจารย์เพชรกล่าวทิ้งท้าย

ผมคิดว่า เราต้องมี “อนาคต” เป็นตัวตั้ง คือควรคิดให้ได้ก่อนว่าชีวิตนี้คุณอยากเป็นอะไรอยากทำอาชีพแบบไหน แล้วหาว่าต้องเรียนอะไรจึงจะไปทำอาชีพนั้นได้ แล้วสิ่งที่อยากเรียนนั้น มีที่ไหนมหาวิทยาลัยไหนตอบโจทย์ตรงนี้ได้ คุณก็ไปตรงนั้น แต่ถ้ายังติดอยู่กับชื่อมหาวิทยาลัย ติดอยู่กับการเรียนเพื่อมุ่งเป้าที่ใบปริญญา คุณอาจไม่ได้เรียนสิ่งที่อยากเรียน แต่เรียนเพื่อคนอื่น เพื่อพ่อแม่ เพื่อสังคม จบออกมาก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อหาว่าจริงๆ แล้วคุณอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร “ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยตอนนี้ คือมีบัณฑิตจบใหม่ปีละกว่าสามแสนคนและมากกว่าครึ่งคือคนว่างงาน สาเหตุสำคัญมาจากสาขาที่เรียนไม่ตรงกับตลาดงาน ทักษะการทำงานของบัณฑิตใหม่ยังไม่ถึงมาตรฐานงานในสนามงานจริง เพราะการเรียนรู้สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้บ่มเพาะฝึกฝนฝีมือด้วยการเรียนรู้แบบลงมือทำ รวมทั้งขาดการฝึกทักษะจำเป็นเพื่อนำไปใช้ในการทำงาน นักศึกษายังเรียนอยู่ในห้องเลคเชอร์ ทำรายงานด้วยวัฒนธรรมคัดลอกและจัดวาง ยังคิดว่าเกรดจบในใบปริญญาคือตัวตัดสินการได้งานทำ

ปัจจุบันโลกเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นทุกวันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล กรอบความคิดเก่าๆ การเรียนรู้แบบเดิมๆ จึงต้องเปลี่ยนแล้วอยากทำงานอะไรให้มุ่งเรียนเพื่อสิ่งนั้น อย่าไปติดอยู่กับชื่อเสียงว่าจะต้องเรียนมหาวิทยาลัยรัฐ ต้องเรียนคณะนี้ของที่นั่นที่นี่ ถึงเวลาแล้วที่การศึกษาในระดับอุดมศึกษาไทยต้องเปลี่ยน แต่จะเปลี่ยนไปอย่างไร กลไกไหนบ้างที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ภาคตลาดงาน ธุรกิจและสังคมอาจช่วยหาคำตอบให้ได้” อาจารย์เพชรกล่าวเสริม การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดที่สุดของมหาวิทยาลัย ซึ่งยังคงทำหน้าที่เป็นเบ้าหลอมคุณภาพคนรุ่นใหม่ที่ก้าวทันโลกความเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยที่สุดมี 4 ประเด็นที่มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนอย่างจริงจัง 1) เปลี่ยนหลักสูตรให้มีความทันสมัย อย่าไปติดว่าอะไรเดิมๆ ที่ดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยน หลักสูตรนี่เองคือเส้นทางสร้างโอกาสงานยุคใหม่ อย่างเช่น คณะนิเทศศาสตร์ที่มีหลักสูตรนานาชาติเรียนรู้เรื่องการผลิตสื่อนวัตกรรม ก็ย่อมตอบโจทย์งานนักนิเทศศาสตร์ยุคดิจิทัลมากกว่าเรียนนิเทศศาสตร์ในหลักสูตรเก่า หรือคณะบริหารธุรกิจที่มีหลักสูตรนักวางแผนการเงินก็ตอบโจทย์ธุรกิจในแวดวงการเงินการลงทุนได้ทันที เป็นต้น 2) เปลี่ยนอุปกรณ์การเรียนให้ทันสมัยและมากพอ เพื่อให้นักศึกษาฝึกใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างชำนาญได้ อย่างเช่น การเรียนเพื่อเป็นนักออกแบบเกม คอมพิวเตอร์ทันสมัยต้องมีจำนวนพอกับนักศึกษา หรือเรียนสาขาการผลิตภาพยนตร์ ห้องเรียนของนักศึกษาก็คือโรงถ่ายสตูดิโอ ใช้กล้องระดับมืออาชีพ มีห้องตัดต่อดิจิทัลแลบ เป็นต้น
