ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
การมองโลกในแง่ดีอาจจะทำให้สบายใจ แต่ชีวิตจริงนั้นไม่ได้สวยงามเสมอไป
วิภาวรรณกลายเป็นลูกค้าขาประจำของสมพงษ์ สมพงษ์ต้องไปรับส่งตามเวลาและสถานที่ที่วิภาวรรณกำหนดเกือบทุกวัน ส่วนมากก็จะเป็นที่โรงแรมและร้านอาหารต่าง ๆ ในย่านเริงรมย์ รวมถึงที่ “บ้าน” แถวคลองตัน ริมคลองแสนแสบ ที่สมพงษ์ก็ไม่เคยเข้าไปส่งจนถึงบ้าน เพราะพอจอดที่ปากซอย วิภาวรรณก็จะขอเดินเข้าไปเอง และส่วนมากก็จะเป็นเวลาดึก ๆ เช่นเดียวกันในเวลาที่ไปรับ ก็มักจะเป็นช่วงหัวค่ำ แล้ววิภาวรรณก็จะออกมาคอยที่ปากซอย หรือให้รับแถวร้านค้าใกล้ ๆ ซึ่งสมพงษ์ก็เป็นห่วง เพราะวิภาวรรณจะแต่งตัวหรูหราสวยงามพร้อมเครื่องประดับจำนวนมาก แม้ว่าวิภาวรรณจะบอกว่าเป็นของปลอม แต่บางทีก็ล่อตาล่อใจมากจนเกินไป รวมถึงรูปทรงองค์เอวที่ยั่วยวน ก็อาจจะนำอันตรายมาสู่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นั้นได้
วิภาวรรณบอกว่าเธอมีเพื่อนมาก ที่บ้านก็ไม่ค่อยเข้มงวด เธอจึงชอบออกมาเที่ยวเตร่ พอสมพงษ์ถามว่าเอาเงินทองจากไหนมาเที่ยว ซึ่งพ่อแม่ก็คงจะไม่ได้ให้เงินออกมาเที่ยวทุกคืนแบบนั้น วิภาวรรณก็บอกว่า คุณยายให้มรดกเป็นเงินก้อนใหญ่ กับค่าเช่าตึกแถวย่านสุทธิสารที่คุณยายปลูกไว้ให้เช่าเป็นประจำเดือนละพอสมควร และการไปเที่ยวก็ช่วยกันออกเงิน ไม่ได้สุรุ่ยสุร่าย รถยนต์ก็มีแต่ไม่ชอบใช้ เดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก กะว่าจะเที่ยวอีกไม่นาน เดี๋ยวพอมีครอบครัวแล้วก็ว่าจะเลิก แต่สมพงษ์ก็ไม่เห็นวิภาวรรณจะมีผู้ชายไปมาหาสู่หรือเที่ยวด้วยเป็นประจำ แม้แต่ “เพื่อน ๆ” ที่วิภาวรรณว่ามีมาก ก็ไม่เคยได้เห็นว่ามีใครบ้าง หรือชื่อของเพื่อน ๆ เหล่านั้น ที่วิภาวรรณก็ไม่เคยเอ่ยชื่อออกมาให้ได้ยินเลย
คืนหนึ่งวิภาวรรณให้สมพงษ์ไปรับที่โรงแรมหรูย่านสยามสแควร์ แล้วบอกให้สมพงษ์ขับรถออกไปนอกเมือง บอกว่าอยากไปนั่งกินลม ระหว่างทางก็ให้สมพงษ์แวะเข้าโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง บอกว่าอยากไปพักผ่อน โดยให้สมพงษ์เข้าไปพักด้วย แล้วเหตุการณ์ธรรมชาติระหว่างชายกับหญิงก็เกิดขึ้น สมพงษ์ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร พอมีครั้งแรกก็มีครั้งต่อ ๆ ไป จนกลายเป็นความผูกพัน สมพงษ์ก็ทึกทักและรู้สึกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เหมือนกับว่าวิภาวรรณนี้เป็นหญิงที่เขารัก แต่วิภาวรรณกลับตรงกันข้าม บางทีวิภาวรรณก็เล่นตัว ทำให้สมพงษ์เดือดดาล แต่พอแสดงความหึงหวงไป วิภาวรรณก็โกรธ เขาจึงต้องคอยงอนง้อเอาใจและขอโทษอยู่เสมอ แต่วิภาวรรณก็ไม่ได้สนใจไยดีสมพงษ์มากนัก ทั้งยังชอบยั่วโมโหสมพงษ์อยู่เสมอ ๆ
ช่วงนั้นเขาติดวิภาวรรณเป็นตังเม และอยากจะรู้ถึงสังคมของวิภาวรรณ ที่สุดเขาก็รู้ว่าวิภาวรรณค้าขายบางอย่างที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย นั่นก็คือเฮโรอีน หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า “ผงขาว” หรือ “ผง” มิน่าล่ะบางทีวิภาวรรณไม่ได้ทานเหล้า แต่ก็มีทีท่าเมามายโงนเงนอยู่บ่อย ๆ วิภาวรรณเป็นสายส่ง ที่อาจจะเรียกในสมัยนี้ได้ว่า “สายส่งไฮโซ” คือส่งเฮโรอีนให้กับผู้คนในสังคมระดับสูง พวกลูกท่านหลานเธอและนักธุกิจเงินถุงเงินถัง ส่วนบ้านที่คลองตันนั้นก็เช่าไว้บังหน้า โดยมีชุมชนริมคลองแสนแสบในย่านนั้นเป็นแหล่งรับเฮโรอีนจากผู้ค้ารายใหญ่ แล้วเอามาขายให้กับผู้ต้องการเสพ เริ่มจากขายผ่านบรรดานักเที่ยวและผู้หญิงกลางคืน ซึ่งวิภาวรรณก็คือหนึ่งในผู้หญิงกลางคืนเหล่านั้น เพียงแต่วิภาวรรณไม่ได้ขายตัว สมพงษ์เคยถามวิภาวรรณว่าทำไมทำอย่างนี้ วิภาวรรณตอบว่าเธอทำประชดที่บ้าน บ้านเธออยู่ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ฐานะก็พออยู่พอกิน มีที่ทางไร่นาอยู่พอสมควร ชีวิตเธอเหมือนเรื่องสาวเครือฟ้า คือแต่งงานกับข้าราชการจากกรุงเทพฯ แล้วต่อมาก็ทราบว่าข้าราชการคนนั้นมีเมียอยู่ที่จังหวัดอื่นด้วย เธอหอบลูกสาววัยไม่ถึงขวบออกมาจากบ้านพักข้าราชการ กลับมาอยู่กับพ่อแม่ แต่พ่อแม่กลับแสดงอาการรังเกียจ หาว่าเธอเป็นไม่ดี ไม่เป็นแม่บ้านการเรือน เอาใจสามีไม่เก่ง ทั้งยังมาคอยเกาะพ่อแม่กิน เป็นลูกไม่รักดี อกตัญญู เธอจึงหอบลูกลงมากรุงเทพฯ มาอยู่กับเพื่อน แล้วเพื่อนก็ชวนให้เธอไปทำงานเป็นสาวนั่งดริงก์ คือคอยชวนแขกให้ดื่มเหล้าเยอะ ๆ พร้อมกับซื้อดริงก์ หรือเครื่องดื่มให้เธอดื่มด้วย เธอก็จะได้ส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ แรก ๆ เธอสั่งแต่น้ำส้ม ซึ่งราคาถูกที่สุดในบรรดาเครื่องดื่ม ได้เปอร์เซ็นต์น้อย เธอจึงลองดื่มพวกคอกเทลหรือเหล้าผสมต่าง ๆ ก็ได้เปอร์เซ็นต์มากขึ้น แต่นั่นมันก็ทำให้เธอติดเหล้าและสุขภาพแย่ลง เธอทำงานดึกดื่น เวลาที่จะดูแลลูกก็มีน้อย เพื่อนแนะนำให้เอาลูกไปฝากญาติ ๆ ของเพื่อนเลี้ยง ดีกว่าที่จะจ้างคนเลี้ยงในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ลูกก็เข้าโรงเรียนแล้ว เธอก็สบายใจ แต่ก็ไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมลูกบ่อยนัก เพราะไม่อยากให้ลูกรู้ว่าแม่ทำงานอะไร และยิ่งแม่ต้องมาทำงานผิดกฎหมายอย่างที่มาค้ายาเสพติดนี้ ก็ยิ่งไม่อยากไปให้ลูกเห็น เพราะกลัวจะเกิดอันตรายแก่ลูก
ไม่นานต่อมา วิภาวรรณก็ถูกตำรวจจับ พร้อมกับเครือข่าย “คลองตัน” อีกหลายคน สมพงษ์โชคดีที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่วิภาวรรณถูกจับ แต่ก็ถูกสอบสวนอยู่หลายรอบ ถึงขั้นที่ถูกจับไปขังคุกเล่น ๆ ไว้สองสามคืน รวมถึงถูกซ้อมและข่มขู่ ว่ารู้เรื่องอะไรบ้าง สมพงษ์ฟังดูเหมือนจะมีแต่คำถามที่เกี่ยวกับเสี่ยคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้จักจริง ๆ สุดท้ายเขาก็ถูกปล่อยตัว แต่วิภาวรรณยังถูกจำขังในระหว่างที่สอบสวนนั้นอีกหลายเดือน เขามารู้ภายหลังว่า เสี่ยคนที่ตำรวจเคยตะคอกถามถึง เป็นนักการเมืองใหญ่ ตำรวจจำต้องปล่อยคนที่ถูกจับมาทุกคน เพราะอิทธิพลของนักการเมืองคนนั้น แต่ตำรวจก็ทำเอานักการเมืองคนนั้นยอบแยบไปพอควร คือถ่วงเวลาปล่อยตัวผู้ต้องหาแต่ละคน เพื่อให้นักการเมืองคนนั้นซื้อตัวออกจากห้องขังทีละคน รวมถึงวิภาวรรณที่เขาเคยไปเยี่ยมในคุกหลายครั้ง ซึ่งสมพงษ์ได้ถามถึงลูกว่าจะให้ช่วยอะไรอย่างไร วิภาวรรณบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง มีพรรคพวกนั้นคอยดูแลอยู่แล้ว รวมถึงตัวเธอเองด้วย ซึ่งไม่นานเธอก็ถูกปล่อยตัวออกมา ทั้ง ๆ ที่คดีก็ยังไม่สิ้นสุด แล้วเธอก็หายเข้ากลีบเมฆไป โดยที่สมพงษ์ตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ ซึ่งเขาก็ทราบจากเพื่อน ๆ แท็กซี่ที่เป็นเซียนในเรื่องเหล่านี้ว่า เครือข่ายยาเสพติดนี้โยงใยกันตั้งแต่ระดับบนมาจนถึงคนชั้นล่าง คนระดับล่างนั้นพอหมดประโยชน์หรือถูกจับแล้ว ก็จะถูกทำให้ “อันตรธาน” หายไป บางทีก็หายไปจากสังคมแต่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนบางคนนั้นก็หายไปจากโลกนี้เลย ซึ่งสมพงษ์ก็หวังว่าวิภาวรรณจะอยู่ในพวกแรกนั้น
สมพงษ์ยังขับรถกะกลางคืนอยู่เช่นเดิม แต่เขากลับคิดมากเรื่องโน้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องของวิภาวรรณ เขาหันไปดื่มเหล้าให้ลืมทุกข์ นาน ๆ เข้าก็ต้องดื่มทุกวัน เพราะวันไหนไม่ได้ดื่มแล้วก็กินข้าวไม่ได้ แต่พอติดเหล้าแล้วเขาก็ลืมที่จะกินข้าวอยู่บ่อย ๆ รวมถึงที่พอติดลมแล้วก็ไม่คิดอยากกินอาหารอะไร อยากกินแต่เหล้า จนบางทีเขาก็ไม่ได้ไปขับรถ เพราะขับไม่ไหว ทุกเช้าที่ตื่นมาก็ต้องถอนด้วยเหล้าที่ดื่มเติมเข้าไป บางทีก็เกิดเรื่องชกต่อยกับผู้โดยสาร รวมถึงที่มีเรื่องกับวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่เขาโดนมีดปาดที่แขน มือ และคอ โชคยังดีที่ไม่ลึกมาก แต่เขาก็ต้องไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน มีคนส่งข่าวให้ญาติที่บ้านนอกรู้ แต่ก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเพราะไม่มีเงินค่ารถ เขาเป็นคนไข้อนาถาที่สังคมสงเคราะห์เข้ามาช่วยดูแล พอออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาก็ปวารณาว่าจะเลิกดื่มเหล้าเด็ดขาด แต่นั่นก็เป็นแค่คำสัญญา ที่เขาไม่สามารถจะรักษามันไว้ได้
คนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองนั้น ก็คือคนที่ไม่รักตัวเอง และยากที่จะรักใครได้จริง ๆ