มุ่งลดเสียชีวิต-พิการ ย้ำป่วยฉุกเฉินวิกฤติเข้าโรงพยาบาลไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุดโดยไม่ต้องจ่าย พร้อมแนะโทรปรึกษา 1669 ก่อนได้เพื่อประเมินอาการเข้าข่ายหรือไม่
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ก.สาธารณสุข ได้เตรียมพร้อมระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ให้ประชาชนที่บาดเจ็บจากการจราจร หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน ได้รับบริการที่รวดเร็ว “แจ้งเหตุเร็ว รับเร็ว ส่งเร็ว” เพื่อลดการเสียชีวิตและความพิการลง โดยขยายคู่สาย 1669 เป็น 300 คู่สายทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้ได้รับการดูแลรักษาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ตามโครงการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิ์ทุกที่
ที่ผ่านมาพบว่า ผู้รับบริการกว่าร้อยละ 60 ไม่เข้าเกณฑ์ตามโครงการ ซึ่งเมื่อใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ดังนั้น หากเจ็บป่วยฉุกเฉินขอให้ประชาชนโทร 1669 แจ้งอาการให้ชัดเจน เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลเบื้องต้น และประเมินอาการว่าเข้าเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือไม่
อย่างไรก็ดี ได้ให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับอาการที่เข้าเกณฑ์วิกฤตฉุกเฉิน และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุหรือใกล้บ้านที่สุด อย่าเลือกโรงพยาบาลที่ชอบ เพราะจะเสียโอกาสช่วยชีวิตผู้ป่วย รวมทั้งการมารับบริการนอกเวลาราชการที่ห้องฉุกเฉินขอให้เจ็บป่วยฉุกเฉินจริงๆ เพื่อให้แพทย์ พยาบาลได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤตอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที หากมีข้อร้องเรียนหรืออุทธรณ์เรื่องสิทธิ์ โทรสอบถามได้ที่ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP Coordinating Center) โทร 0-2872-1669
ด้านเรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า หลังเริ่มโครงการตั้งแต่ 1 เม.ย.-ธ.ค.60 มีโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศทั้งหมด 334 แห่ง มีการบันทึกข้อมูลผู้ป่วยเข้าระบบโปรแกรม Pre-Authorize (PA) 281 แห่ง (ร้อยละ 84.13) มีผู้ป่วยฉุกเฉิน 25,267 ราย เป็นผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ 9,506 ราย (ร้อยละ 37.62) เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตในพื้นที่กรุงเทพฯ 3,146 ราย (ร้อยละ 34.91) ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในกลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ (Non Trauma) 8,404 ราย (ร้อยละ 88.41) มาโรงพยาบาลโดยญาติมาส่ง 6,784 ราย (ร้อยละ 71.37) และนำส่งโดยระบบ EMS 2,114 ราย (ร้อยละ 22.24) เป็นสิทธิการรักษาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 6,213 ราย (ร้อยละ 65.36) รองลงมาคือ สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ 1,824 ราย (ร้อยละ 19.19) ประกันสังคม 1,190 ราย (ร้อยละ 12.52) และกองทุนอื่น ๆ 279 ราย (ร้อยละ 2.93)