พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก! วิบากกรรมของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังไม่จบสิ้น พอโควิดเริ่มซา น้ำท่วมก็มาซ้ำ… ฤทธิ์พายุ “เตี้ยนหมู่” ทำหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางจมบาดาล แม้นายกฯจะเดินสายลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมขันนอตข้าราชการและให้กำลังใจชาวบ้าน ตามสโลแกน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่ก็ยังเกิดดราม่าจับผิดบิดประเด็นทั้งเรื่อง “สวดมนต์” “สร้างบ้าน 2 ชั้น” และ “คุยกับวัว” ที่สำคัญ น้ำท่วมปี 64 ถูกนำไปเปรียบเทียบกับน้ำท่วมปี 54 ยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ “บิ๊กตู่” เคยเคียงข้างนายกฯหญิงในตำแหน่งผบ.ทบ. จึงสร้างแรงเสียดทานให้กับ “บิ๊กตู่” ยกกำลังสองที่ต้องเอาชนะศึกนี้ให้ได้ และให้เร็วที่สุด ทว่ากลางศึกน้ำท่วมที่ “บิ๊กตู่” ต้องออกไปรบตามหัวเมืองต่างๆ เก้าอี้นายกฯที่ตึกไทยคู่ฟ้าก็ถูกเลื่อยขา จากฝ่ายค้านเปิดประเด็นเรื่องการนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่อาจทำให้ “บิ๊กตู่” อยู่เป็นนายกฯไม่ครบเทอม และไม่สามารถเป็นแคนดิเคตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งสมัยหน้าได้ ค่ายกล “มาตรา 158” ของรัฐธรรมนูญ 60 ถูกงัดออกมาใช้สกัด “บิ๊กตู่” โดยสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยกเอามาตรา 158 วรรคสี่ ที่กำหนดว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะ เวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง” โดย “สุทิน” ชี้ว่าจะต้องเริ่มนับการดำรงตำแหน่งของ “บิ๊กตู่”จากวันที่มีการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 25 สิงหาคม 2557 เท่ากับว่าจะเป็นนายกฯครบ 8 ปีในเดือนสิงหาคมปี 2565 ขณะที่ อุดม รัฐอมฤต อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เห็นไปอีกทางว่า การนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งไม่เกี่ยวกับการเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. หรือเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญอื่น เนื่องจากไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 การเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเริ่มนับตามรัฐธรรมนูญ 60 จึงไม่เกิน 8 ปี ธีรัจชัย พันธุมาศ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่า การนับอายุนายกฯ จะเป็นไปตามตัวบทมาตรา 264 หมายความว่า ให้นับการดำรงตำแหน่ง ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ ปี 2557 ฟาก ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยกมาตรา 264 วรรค 1 ที่บัญญัติว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่…” โดย “ทิพานัน” ชี้ว่าความหมายตามตัวบทคือ ครม.ก่อนหน้าประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ใช่ครม.ตามรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งครม. ก็ต้องรวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย แสดงว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเพิ่งมีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกิดขึ้น ทำให้อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จรัญ ภักดีธนากุล ออกมาแนะให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะว่ากฎหมายเขียนไม่ชัดเจน รัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ ระบุแต่เพียงว่านายกฯจะดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 8 ปี เมื่อบัญญัติไว้เท่านี้ จึงเปิดโอกาสให้คนเข้าใจไปได้หลายแนวทาง เท่าที่ปรากฏเป็นข่าวมีความเห็นถึง 3 แนวทางด้วยกัน ดังนั้นเห็นว่าวิธีที่ดีที่สุดคือ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 คือ กกต.ต้องเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาช่วยทำให้เรื่องโปร่งใส นั่นก็หมายความว่า ปลายทางเรื่องนี้จะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทว่าระหว่างนี้ จะสร้างแรงเสียดทานให้กับ “บิ๊กตู่” โดยเฉพาะกับศึกสายเลือดในพรรคพลังประชารัฐ ด้วยหากไล่เลียงสถานการณ์ตั้งแต่หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นต้นมา “บิ๊กตู่”ต้องเผชิญกับสารพัดปัญหาที่ถาโถมเข้ามาท้าทายหนักหนาสาหัส จากเกม “หักเหลี่ยม”ภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่ยกระดับเล่นกันแรงชนิดบัลลังก์สะเทือน แม้จะรอดสันดอนมาได้แบบหวุดหวิดด้วยคะแนนไว้วางใจรองบ๊วย แม้จะสะเดาะเคราะห์ด้วยการปลด 2รัฐมนตรีแล้ว แต่ “แต้มบุญ”ก็ยังไม่พอ “บิ๊กตู่”ต้องเหนื่อยต่อด้วยรอยร้าวปริแยกแตกของกลุ่มก๊วนต่างๆภายในพรรค ส่งผลให้เกิดสงครามตัวแทนเสี้ยมพี่น้อง 3 ป.ให้ชนกัน กับเกม “วัดพลัง”ลงพื้นที่น้ำท่วมระหว่างจ.เพชรบุรี และจ.อยุธยา ที่บรรดาส.ส.ต่างแห่กันไปเป็นวอลเปเปอร์ให้กับ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เกินครึ่งร้อย หลังประลองกำลังหยั่งเชิง ก็เกิดสัญญาณ “ถอยคนละก้าว”ขึ้นโดย “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอม เลื่อนการลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม ที่จ.นครราชสีมาไม่ให้ตรงกันกับ “บิ๊กตู่” พร้อมเปิดทางให้สายตรง “บิ๊กตู่” อย่าง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นั่ง เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคในต้นเดือนตุลาคม ขณะที่ “บิ๊กตู่” ยอมเกลี่ยงาน 4 หน่วยงานที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เคยกำกับดูแลอยู่เดิมสมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ “บิ๊กป้อม” ไปดูแล ซึ่งก็เหมือนการคืนกลับไปสู่มือ ของ ร.อ.ธรรมนัส สัญญาณถอยที่เกิดขึ้นเนื่องจาก “บิ๊กป้อม”ประเมินแล้วว่าหากปล่อยให้น้องเล็กออกไปตั้งพรรคใหม่ จะไม่มี “ไพ่”ใบใหม่ให้เล่น ขายภาพเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งสมัยหน้า ขณะเดียวกันกลุ่มสามมิตรก็จะย้ายรังตามไปด้วย แม้ร.อ.ธรรมนัสจะมีแผนไปช็อปส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเติมเต็มก็ตาม และล่าสุด ก็มี “แรงเขย่า” มาจากพ.อ.สุชาติ หยุดสีเทา อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ เพื่อน “บิ๊กตู่” ที่ออกมาประกาศแยกทางกับพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้า “ส.ส.พปชร.ในภาคใต้ที่ได้รับเลือกมา 13 คน เพราะกระแสความนิยมในตัวของนายกฯ ผมยังมั่นใจว่าในภาคใต้ความนิยมในตัวนายกฯไม่ได้ลดลง” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น “บิ๊กตู่”ก็ยังไม่หักกับ “บิ๊กป้อม” เพราะเมื่อเปิดสมัยประชุมสภาในเดือนพฤศจิกายนก็จะต้องดันร่างพระราชกำหนดกู้เงินเข้าไป หลังจากขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็นร้อยละ 70 แล้ว ซึ่งชั่วโมงนั้นยังต้องอาศัยมือของส.ส.โหวตหนุนร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งยังต้องใช้บริการ “ร.อ.ธรรมนัส” เพราะหากร่างกฎหมายการเงินไม่ผ่าน “บิ๊กตู่”ก็ต้องลาออก จะเห็นได้ว่า วิบากรรมของ “บิ๊กตู่” ยังไม่จบสิ้นง่ายๆ และยังมีอีกหลายด่านทดสอบเบื้องหน้า ทั้งในศาลรัฐธรรมนูญ และสภาฯ ที่แต่ละด่านนั้นแสนสาหัส แต่เมื่อขึ้นหลังเสือแล้ว ก็ต้องหาทางลงให้ดี ไม่ให้เสือกัด!