ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ชีวิตในเมืองหลวงไม่ได้อาศัยแต่ความบากบั่น แต่ต้องอาศัยโชคช่วยอีกด้วย ชีวิตที่สมพงษ์ได้รับฟังจากคำบอกเล่าของผู้โดยสาร ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องโกหก หลายเรื่องดูเกินจริงไม่น่าเชื่อถือ บางคนโอ้อวดว่าตนเองถูกลอตเตอรี่ บางคนบอกว่ากำลังทำงานสำคัญ เป็นเรื่องความลับระดับชาติ บางคนบอกว่าเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ฯลฯ แต่เรื่องที่สมพงษ์ชอบฟังและเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเสียส่วนใหญ่นั้นก็คือ “ชีวิตเศร้า ๆ” ที่มีทั้งเรื่องของความสูญเสียและเรื่องของชะตากรรมอันโหดร้าย มีเรื่องหนึ่งที่สมพงษ์ชอบเล่าให้ญาติพี่น้องฟังก็คือ เรื่องแม่ขายลูก วันที่เกิดเรื่องนั้นสมพงษ์ขับรถไปแถวถนนย่านท่าเรือคลองเตย เป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ตะวันกำลังโพล้เพล้ เขามองเห็นผู้หญิงวัยรุ่น แต่งตัวเรียบ ๆ ใส่เสื้อยืดมีเทา ๆ กางเกงขาสั้นสีดำ อุ้มเด็กทารกน่าจะอายุได้สักสิบเดือน ใส่ห่อผ้าขนหนูเก่า ๆ พอขึ้นรถได้ก็บอกให้ไปที่ซอยสุขุมวิท 81 แถวบางจาก ระหว่างทางก็พูดกับเด็กที่ร้องอยู่ตลอดเวลาว่า “อย่าร้องนะลูก ๆ เดี๋ยวแม่พาไปเที่ยว ๆ” พร้อมกับป้อนน้ำให้เป็นระยะ สมพงษ์จึงถามว่าทำไมไม่ป้อนนม หญิงสาวก็ตอบว่าลูกหย่านมแล้ว จนเมื่อถึงบ้านที่เข้าไปในซอยลึก หญิงสาวก็บอกว่ารออยู่ก่อนนะเดี๋ยวจะให้กลับไปส่งที่เดิม แล้วก็หายไปสักครู่ใหญ่ ๆ ก่อนที่จะออกมาพร้อมถุงกระดาษใบโต แต่เด็กไม่ได้กลับมาด้วย เมื่อนั่งรถไปสักครู่ สมพงษ์ก็ถามว่าเด็กไปไหนหรือ หญิงสาวก็ระเบิดโฮร้องไห้ ละล่ำละลักบอกว่ายกลูกให้เขาไปแล้ว จากนั้นก็ร่ำไห้เล่าความต่าง ๆ ออกมา จึงรู้ว่าหญิงสาวไปท้องกับเพื่อน แต่เพื่อนที่เป็นวัยรุ่นด้วยกันติดยาเสพติดต้องเข้าคุก ตัวเองเลี้ยงลูกไม่ไหว มีนายหน้ามาถามหาเด็กไปเลี้ยง จึงต้องเอาลูกมาขายดังกล่าว ตอนที่ลงรถ หญิงสาวถามว่าค่าโดยสารเท่าไหร่ สมพงษ์บอกว่าไม่ต้องหรอก สงสาร นึกว่าช่วยเหลือกัน แต่หญิงสาวก็เอาซองสีน้ำตาลออกมาจากถุงกระกาษ แกะเงินออกมา 200 บาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากเกินกว่าค่าโดยสารปกติ วางไว้ที่เบาะ ก่อนที่จะวิ่งออกจากรถไป วันต่อมาเขาวิ่งรถไปวนแถวนั้นอยู่บ่อย ๆ กะว่าเผื่อเจอหญิงสาวคนนั้น ก็จะได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบ หรือให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้เจอหญิงสาวนั้นอีกเลย สมพงษ์ขับแท็กซี่ได้สัก 2 ปี ก็เปลี่ยนไปขับกะกลางคืน เพราะรู้สึกว่าจะหากินดีกว่า ตอนบ่ายสามโมงพอรับรถแล้วเขาก็จะไปแถวหน้าโรงเรียน ผู้ปกครองต่างก็มารับบุตรหลานของตน เขาได้เห็นเด็ก ๆ เหล่านั้นได้กินขนมอย่างเอร็ดอร่อย บางคนก็หลับคารถ ทั้งที่อากาศอบอ้าว เพราะแท็กซี่สมัยนั้นยังไม่ติดแอร์ แสดงว่าคงเรียนหรือเล่นมาอย่างหนัก จากนั้นสักสี่โมงเป็นต้นไป คนก็จะเลิกงาน โดยเฉพาะพวกข้าราชการ ที่ควรจะเลิกบ่ายสี่โมงครึ่ง แต่ส่วนมากก็ทะยอยออำมาก่อนเวลาที่จะเลิกทำงานจริง ๆ ส่วนหนึ่งถ้าเป็นข้าราชการผู้ชายก็จะมากันเป็นกลุ่ม ๆ ละ 2-3 คน บอกว่าให้ไปที่ร้านอาหาร ได้เวลาแดดล่มลมตก พยาธิร้องเรียกหาแอลกอฮอล์ สักห้าโมงกว่า ๆ เขาก็จะขับไปแถวถนนสีลม พวกคนออฟฟิสกำลังเลิกงาน พวกนี้แต่งตัวดี ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะแต่งตัวสวยงามตามแฟชั่น ถ้ามาเป็นกลุ่มก็จะพูดคุยกันเสียงเบา ๆ น่ารักน่าฟัง สมพงษ์เองเป็นหนุ่มแน่นก็รู้สึกคึกคัก ได้รับความรื่นรมย์ในระหว่างที่ขับรถไปส่งสาว ๆ เหล่านั้น ในช่วงค่ำ ๆ นี้เองที่เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนมีความสุข เป็นเวลาที่ผู้คนเลิกงาน หลายคนกลับไปสู่บ้านได้ทานอาหารพร้อมครอบครัว หลายคนได้ทานอาหารกับเพื่อน ๆ และหลายคนก็ได้ไปเจอคนรัก นัดหมายทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลง มีความสุขอยู่ทั่วไป กรุงเทพฯในช่วง พ.ศ. 2510 - 2515 เป็นช่วงที่ผู้คนสุขสบาย เศรษฐกิจประเทศไทยกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ มีทหารเอมริกันมาตั้งฐานทัพอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ คนอเมริกันพวกนี้เอาเงินมาทุ่มพัฒนาประเทศไทย เพื่อเลี้ยงไว้เป็นบริวารต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ คนพวกนี้นำความฟุ้งเฟ้อมาสู่สังคมไทย ทั้งเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย ดนตรี และวัฒนธรรมตะวันตก เช่น ฮิปปี้ และยาเสพติด แหล่งบันเทิงเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ถนนเพชรบุรีที่แต่เดิมยาวจากยมราชไปหยุดที่มักกะสัน ก็ถูกตัดไปให้ยาวจนถึงคลองตัน เรียกว่าถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนนี้ได้กลายเป็น “ย่านกามารมณ์” แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ในขณะที่ย่านสีลมบางรักก็ยังคงเป็นย่านกามารมณ์เก่า แต่ได้ปรับปรุงให้อึกทึกคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะย่านที่เรียกว่า “ซอยพัฒน์พงศ์” สมพงษ์ชอบขับรถมาย่านพัฒน์พงศ์ เพราะนอกจากจะหาเงินได้มากแล้ว ยังได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้คนที่ปรากฏออกมาในตอนที่เมามาย ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องจริงเสียส่วนใหญ่ เพราะตอนที่เขาบวชอยู่นั้น หลวงพ่อที่วัดบ้านหนองม่วงเคยเทศน์ให้ญาติโยมฟังอยู่บ่อย ๆ ถึงโทษร้ายของสุรายาเมา เขายังจำได้ในสุภาษิตที่หลวงพ่อชอบกล่าวเสมอ ๆ เมื่อเทศน์ถึงเรื่องสุรายาเมานี้ว่า “ในเหล้ามีความจริง” คือคนเมามักจะสำรอกความจริงออกมา ทั้งยังได้เล่านิทานเรื่องโจรขี้เมาประกอบให้น่าเชื่อถือด้วย ว่าครั้งหนึ่งยังมีโจรขี้ขโมยเที่ยวลักปล้นผู้คนไปทั่ว แต่จับตัวไม่ได้สักที จนวันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านได้จัดงานเลี้ยงขึ้นในหมู่บ้าน โจรก็มาร่วมดื่มกินด้วย เพราะเป็นคนชื่นชอบสุรายาเมา จนกระทั่งดึกดื่น ผู้ใหญ่บ้านก็แกล้งเมาไปร่วมวงสุราด้วย เมื่อเมาได้ที่โจรคนนั้นก็พูดถึงเรื่องแผนการปล้นให้ฟัง พอถึงวันที่ไปปล้น ผู้ใหญ่บ้านก็นำเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปล้อมจับ นำตัวไปรับโทษตามกบิลเมืองต่อไป แม้ว่าสมพงษ์จะได้ฟังเรื่องราวของผู้โดยสารมากมาย รวมถึงผู้โดยสารที่เมามายจนไม่ได้สติ แต่เขาก็พยายามแยกแยะว่าอะไรจริงหรือไม่จริง โดยเฉพาะเรื่องราวจากการเล่าของพวกผู้หญิงทำงานกลางคืน ซึ่งล้วนแต่เล่าเรื่อง “ชีวิตรันทด” หลายคนเป็นเรื่องที่ “น้ำเน่า” กว่าละครวิทยุในสมัยนั้นเสียอีก แต่แล้วเขาก็พลาดจนได้ต่อเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขาขอสมมุติชื่อว่า “วิภาวรรณ” ซึ่งมีวิธีการเล่าและวิธีการแสดงออกไม่เหมือนใคร จนกระทั่งเขาต้องเข้าให้การช่วยเหลือ และที่สุดก็ตกหลุมรัก จนกระทั่งสุดท้ายต้องมาเสียใจและช้ำใจจาก “ความลุ่มหลง” ในครั้งนั้น วิภาวรรณเมามาขึ้นรถของสมพงษ์ในตอนดึกวันหนึ่ง มีเพื่อนเธอมาส่งขึ้นรถพร้อมกับให้ไปส่งที่บ้านหลังหนึ่งริมคลองแสนแสบ เป็นช่วงถนนที่ตัดใหม่จากถนนประชาสงเคราะห์แถวแฟลตดินแดง มาเชื่อมถนนเพชรบุรีตัดใหม่ตรงแยกอโศก ทำให้เกิดหมู่บ้านจัดสรรขึ้น 2-3 แห่ง ในท่ามกลางชุมชนริมคลองที่มีมาแต่เดิม บ้านหลังนั้นใหญ่โตพอสมควร ใกล้ ๆ กันก็เป็นบ้านหลังใหญ่คล้าย ๆ กันอีกหลายหลัง เรียกว่าเป็นบ้านจัดสรรในยุคแรก ๆ พอถึงที่หน้าบ้าน สมพงษ์ก็ปลุกเรียกวิภาวรรณให้ตื่น ซึ่งเธอก็โงนเงนขึ้นมาให้เงินตามจำนวนที่บอก ก่อนที่จะตะเกียกตะกายลงไปจากรถ โดยสมพงษ์ได้มองอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็โบกมือไล่ให้เขาไป ต่อมาอีกไม่กี่วัน เมื่อเขาขับไปหาผู้โดยสารแถวพัฒน์พงศ์นั้นอีก ก็ได้พบกับวิภาวรรณอีกครั้ง ครั้งนี้วิภาวรรณไม่เมามาก ได้บอกให้เขาขับรถไปคอฟฟี่ช็อปแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่ และนัดหมายให้เขาไปรับกลับตอนสองยาม ในการพบกันครั้งนี้นี่เอง ที่นำความยุ่งเหยิงมาสู่ชีวิตของสมพงษ์ จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด