“ผ้าไหม” สายใยรักจาก “พระราชินี” ถึง “ราษฎร”
โดย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์
ตอนพระกุศโลบาย ผ่าน “ใยไหม” สายใยที่ไม่สิ้นสุด
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่า คำสอนอีกอย่างของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือทรงสอนให้รักษา “สัญญา” ที่ให้ไว้กับชาวบ้าน บ้านไหน เรื่องอะไร ต้องกลับไปทำตามสัญญา และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ก็ดำเนินตามพระดำรัสในเรื่องนี้มาตลอด…อย่างครั้งแรก ๆ ที่เรากลับไปให้ชาวบ้านทอผ้าผืนใหม่ให้ ชาวบ้านก็บอกโอย..ไม่มีเวลา ต้องทำนา ทำสวน ต้องหาเช้ากินค่ำ…จะทอผ้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ จะเลี้ยงไหมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะสมัยก่อนต้องทำตั้งแต่เลี้ยงไหม และทำทุกอย่างครบวงจรอยู่ในบ้าน เราก็บอกไม่เป็นไร ได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น…แต่ปีหน้า เดือนนี้จะกลับมานะ ถ้ามาแล้วได้ผ้าก็เอาไป ถ้าไม่ได้ก็รอไปอีกปีหนึ่ง
“…แล้วรับสั่งว่า “ต้องให้เงินชาวบ้านไว้ล่วงหน้าเป็นมัดจำก่อน เขาจะได้มีเงินใช้จ่ายในช่วงที่นั่งทอผ้าไหม” แต่ชาวบ้านไม่ยอมรับเงินล่วงหน้าง่ายๆนะคะ ต้องคะยั้นคะยอกัน เพราะชาวบ้านกลัวว่ารับเงินแล้ว ไม่ได้ทำจะผิดสัญญา…รับสั่งเสมอว่า “ถ้าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ก็ต้องให้ชาวบ้านออกทำไร่ ทำนาของเขา แต่ยามที่คอยข้าวออกรวง คอยข้าวสุก ชาวบ้านจะมีเวลาว่างก็ค่อยให้เขาทอผ้า เขาจะได้ไม่ต้องออกไปรับจ้างหางานนอกบ้าน”
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังพระราชทานเกียรติช่างทอผ้าชาวบ้านอย่างสูงยิ่ง ดังที่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่าทรงสอนให้สังเกต ให้เรียนรู้จากชาวบ้าน รับสั่งว่า “ชาวบ้านคือ ครูที่ดีที่สุด ให้เรียนรู้จากเขา” นอกจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงสนับสนุนให้ชาวบ้านทอผ้าไหมเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวแล้ว ยังทรงสอนให้ชาวบ้านเป็นนักอนุรักษ์คืออนุรักษ์ลวดลายผ้าไหมไทยแต่โบราณไว้ไม่ให้สูญหาย รวมถึงอนุรักษ์พันธุ์ไหมไทยแท้ ๆ ควบคู่กันไปด้วยทรงสนับสนุนให้ชาวบ้านอนุรักษ์การทอผ้าลวดลายโบราณ รับสั่งว่า “ผ้าขี้ริ้วที่ชาวบ้านถูเรือนก็ต้องดูด้วย เพราะลายผ้าจะอยู่ตรงนั้น” คือธรรมชาติของคนเรามักจะนำผ้าเก่ามาทำผ้าขี้ริ้ว
“…เราไปถึงเห็นผ้าขี้ริ้วก็รีบคลี่ดู แล้วก็เห็นว่าลายสวยจริงๆ พอถามว่าผืนนี้ใครทอ เขาก็บอกว่ายายทอไว้ แม่ทอไว้ มันเก่าแล้วเลยนำมาทำผ้าขี้ริ้วเราก็บอกให้ชาวบ้านทอลายนั้นเลย ลายนี่ละสวย ชาวบ้านเขาก็ทอมา…และทรงกำชับเสมอว่า อย่าไปออกแบบสี ออกแบบลายให้ชาวบ้าน แต่ต้องพยายามไม่ให้เขาทิ้งลวดลายเก่า…ต่อมา จึงทรงจัดให้มีการประกวดผ้าไหมทุกปี ที่พระตำหนักภูพานฯ จังหวัดสกลนคร เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านทอผ้าลายโบราณอย่างน้อย 1 ชิ้นใน 1 ปีผ้าไหม ยังช่วยให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทราบถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎร กระทั่งทรงหาหนทางแก้ปัญหานานาประการให้แก่ราษฎรของพระองค์ได้ทรงสอนว่า “เวลาไปซื้อผ้าไหมให้ดูความเป็นอยู่ของเขาด้วย ดูว่าเขารับประทานอะไร เขามีข้าวอยู่ในบ้านไหม มีมากมีน้อยแค่ไหน ดูว่าเขาหามาได้วันหนึ่งแล้วรับประทานหมดไปวันหนึ่งหรือเปล่า มีเก็บมีเหลือไหม”
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระเล่าต่อไปอีกว่า…และเมื่อทรงทราบปัญหาของชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจ็บไข้ไม่สบาย ไม่มีเงินให้ลูกเรียนหนังสือ ทำนาทำไร่ไม่ได้ผล ก็โปรดฯให้ขยายคณะซื้อผ้าไหมให้มีคนเพิ่มมากขึ้น…คือมีหมอไปด้วย มียาไปด้วยจำนวนหนึ่ง จากรถคันหนึ่งกลายเป็นรถ 2 คัน 3 คัน ต่อมาก็มีนักเกษตรในพระองค์ที่จบปริญญาด้านเกษตรพืชไร่ สาขาต่างๆ เพื่อให้ความรู้และแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน ลูกหลานครอบครัวใดเรียนดีแต่ยากจน ก็ทรงสนับสนุนให้ทุนการศึกษาส่วนการตั้งราคาผ้าไหมให้ชาวบ้านนั้นทรงแนะให้ตั้งราคาที่ร้านผ้าไหมขายให้คนซื้อเพราะแสดงว่าเป็นราคาที่ร้านค้าบวกกำไรไว้แล้วชาวบ้านก็จะได้ราคาเดียวกับร้านค้าโปรดฯ ให้ตั้งราคาผ้าไหมให้ชาวบ้านอย่างสมเหตุสมผล แต่ไม่ให้ตั้งราคาขายผ้าไหมแพงเกินควร เพราะไม่ได้ทรงทำธุรกิจ ทรงหวังให้คนไทยทุกคนมีโอกาสใช้ผ้าไหมไทย
“จากประสบการณ์ที่ได้จากการออกร้านขายผ้าไหมศิลปาชีพตามงานต่างๆ มาเป็นเวลานานเป็นที่น่าปลื้มใจคือ มีหลายคนบอกว่าอยากร่วมถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล แต่ไม่มีเงินมาก ได้ซื้อผ้าไหมศิลปาชีพไปใส่ ก็ถือว่าโดยเสด็จพระราชกุศลเหมือนกัน” ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เน้น
“ผ้าไหม” สายใยแห่งความผูกพัน
ถึงตรงนี้ท่านผู้หญิงจริงจิตต์ขยายความด้วยว่าคนไทยหลายคนอาจไม่ทราบว่า เมื่อเริ่มแรกที่ทรงตั้งโครงการ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตรวจตรา “ผ้าไหม” และงานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ด้วยพระองค์เองทุกชิ้น ทุกผืนมาเป็นระยะเวลายาวนานและตลอดเวลายาวนานนั้นมีพระอาการ “แพ้ฝุ่น” ที่สะสมอยู่ในผืนผ้า แต่ก็ทรงอุตสาหะและทรงอดทนที่จะ “ทรงงาน” เพื่อราษฎรของพระองค์ตลอดมาและเมื่อใดทรงพบปัญหา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็จะพระราชทานแนวทางช่วยเหลือและแก้ปัญหาทุกครั้งไป
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่าปัญหาของผ้าไหมไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากเรื่องคุณภาพของเส้นไหม แต่ก่อนชาวบ้านปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ซึ่งเป็นไหมพันธุ์ไทยแท้ ๆ ทำกันเองไม่มีปัญหา…มาเริ่มมีปัญหาเมื่อมีคนนำเส้นไหมเข้าไปขายให้ชาวบ้าน ซึ่งแต่ก่อนชาวบ้านที่ไม่ได้เลี้ยงไหมเอง จะไปขอซื้อไหมจากบ้านที่เลี้ยงไหมอย่างเดียว แต่ไม่ได้ทอผ้า เพราะว่าแก่แล้ว ทอผ้าไม่ไหว โดยวิธีนี้ชาวบ้านก็ได้ช่วยเหลือจุนเจือกันเองในหมู่บ้านเดียวกัน…แต่เส้นไหมที่พ่อค้านำเข้าไปขาย ไม่ใช่ไหมพันธุ์พื้นเมืองเหมือนก่อน แต่เป็นไหมพันธุ์ผสม หรือไหมก็เป็นไหมที่ลักลอบนำเข้ามาจากชายแดน…หากเป็นไหมพันธุ์ผสมคุณภาพดียังไม่เป็นไร แต่ส่วนใหญ่พ่อค้าจะนำไหมพันธุ์ผสมที่คุณภาพไม่ดีไปขาย…พ่อค้าจะบอกให้ชาวบ้านเอาเส้นไหมไว้ก่อน แล้วบอกว่าพอถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะมีงานผ้าไหมที่พระตำหนักภูพานฯ พอชาวบ้านขายผ้าไหมให้ “พระราชินี” ได้ ก็จะมาเก็บเงิน
แต่เมื่อคุณภาพของผ้าไหมเปลี่ยน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ก็ไม่รับซื้อชาวบ้านก็ร้องห่มร้องไห้ มาสารภาพความจริงให้ฟัง และบอกว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ แต่เราก็ต้องใจแข็ง ให้ไปเฉพาะค่ารถ แล้วก็บอกว่าอย่าทำอย่างนี้อีก ให้นำผ้าชิ้นนั้นกลับไปให้พ่อค้าก็แล้วกัน พอปีต่อไปก็ดีขึ้น
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เนื้อผ้าไหมแตกต่างไปจากเดิมนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่าเกิดจากกรรมวิธีในการ “สาวไหม”เมื่อก่อนชาวบ้านจะสาวไหมลงกระบุง สาวออกมาก็จะได้ไหมเส้นกลม ๆ หยิกๆ ชาวบ้านจะเอาทรายหรือก้อนกรวดใส่ลงไปทีละกำมือ เพื่อไม่ให้เส้นไหมพันกัน สาวไหมแล้วก็ใส่ทรายสลับกันไปเรื่อย ๆ จากนั้นจึงจะนำไหมที่สาวได้มาใส่ถุง เพื่อทำเป็นไจไหม…แต่สมัยใหม่ สาวไหมปุ๊บเอาเข้าวงล้อเลย ไม่ได้ลงกระบุงก่อน เส้นไหมเลยแบนเรียบ ไม่กลมเหมือนเดิม เพราะเส้นไหมโดนกดทับกัน ทำให้เนื้อผ้าไม่เหมือนก่อนเมื่อไหมเกิดปัญหา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถก็มีพระราชดำริว่าน่าจะมีสถาบันหลักที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องหม่อนไหม เพื่อสร้างมาตรฐานให้ผ้าไหมไทย รวมถึงอนุรักษ์และดูแลไม่ให้ไหมพันธุ์ไทยแท้สูญหายไปและยังเป็นการยกระดับคุณภาพผ้าไหมไทยแต่ละประเภท เพราะจะทำให้ทราบถึงที่มาของไหมแต่ละชนิด
จากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” จึงได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2547หน้าที่หลักของสถาบันก็คือ การรักษาพันธุ์ไหมและพัฒนาพันธุ์หม่อนให้มีคุณภาพดีขึ้น และกระจายไหมพันธุ์ไทยแท้ให้ชาวบ้าน รวมถึงแยกประเภทของผ้าไหม ตามคุณลักษณะของไหมและกระบวนการผลิต เพื่อผู้ซื้อจะได้เลือกซื้อตามความพอใจ
ผ้าไหม…เรื่องของ “สายใย” ที่ไม่สิ้นสุด
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าต่อว่า เส้นใยของผ้าไหมยังช่วยกระชับตวามสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น “จากเดิมที่ผู้ชายเห็นว่างานเลี้ยงไหมเป็นของผู้หญิง แต่ต่อมาผู้ชายเริ่มหันมาช่วยรดน้ำพรวนดินต้นหม่อน ช่วยภรรยาเก็บใบหม่อน ล้างใบหม่อน ช่วยหั่นใบหม่อนเพื่อเลี้ยงไหม
“…ขณะนี้ผู้ชายบางครอบครัวลงมือ “มัดหมี่” เอง และผู้ชายบางบ้านทอผ้าเองก็มี สุขอนามัยในครอบครัวก็ดีขึ้น เพราะไหมชอบความสะอาด มีแมลงวันไม่ได้ เพราะมีเมื่อไหร่ตายยกกระด้ง แล้วไหมแพ้ควันบุหรี่ โดนควันบุหรี่ไหมก็ตาย ผู้ชายบางบ้านจึงเลิกสูบบุหรี่ไปเลยก็มี…ฉะนั้นเวลามีงานผ้าไหมที่พระตำหนักภูพานฯ ชาวบ้านที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจึงเก็บผ้าไว้ไม่ยอมขายให้ใคร แม้เราจะบอกให้เขาขายเถอะ ถ้าขายแล้วได้ราคาดี แต่เขาก็อยากรอขาย พระราชินี อยากให้มูลนิธิฯของ “พระราชินี” ได้ผ้าชิ้นที่ดี ๆไป” ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระกล่าวทิ้งท้าย