ยกงานวิจัยต่างชาติฉีดวัคซีนแล้วติดโควิดภูมิจะสูงกว่าคนที่ฉีดแล้วแต่ยังไม่ติดเชื้อหลายเท่า ระบุคนติดเชื้อหลังมีอาการ 6 วันเชื้อในตัวจะหมดฤทธิ์ไปติดใครไม่ได้อีก ขณะการฉีดวัคซีนซ้ำรับกลายพันธุ์ได้ถึงเข็ม 4-5 แค้ห่ากเชื้อยังกลายพันธุ์อีก ก็ต้องอยู่กับโควิดเหมือนไข้หวัด-หวัดใหญ่
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ อดีตศัลยแพทย์หัวใจและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุวิเคราะห์สถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ว่า หลายเดือนที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1.มีการเกิดเชื้อโควิดกลายพันธ์เดลต้าที่แพร่โรคได้เร็วขึ้น
2.วัคซีนที่คาดหมายว่าจะป้องกันการแพร่โรคและลดการตายได้ เอาเข้าจริงๆ มันทำได้อย่างเดียวคือ ลดการตายได้แต่ป้องกันการแพร่โรคไม่ได้ เพราะมันเกิดการติดเชื้อแบบ breakthrough infection คือติดเชื้อหลังการฉีดวัคซีนครบขึ้นในอัตราที่สูง บางรายงานมากถึง 40% ของการติดเชื้อใหม่
3.เมื่อวัคซีนป้องกันการแพร่โรคไม่ได้ ความหวังที่จะใช้วัคซีนเป็นตัวสร้าง herd immunity เพื่อให้โรคสงบเกลี้ยงนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น โรคนี้จะสงบได้ก็ต่อเมื่อคนส่วนใหญ่ได้ติดเชื้อจริงๆกันถ้วนหน้าหรืออย่างน้อย 70-80% แล้วเท่านั้น
4.งานวิจัยที่อิสราเอลพบว่าคนที่ได้วัคซีนแล้วไปติดเชื้อจริง จะมีภูมิคุ้มกันดีกว่าคนที่ได้วัคซีนกระตุ้นโดยไม่เคยติดเชื้อจริงหลายเท่า
ข้อมูลทั้งสี่อย่างนี้ทำให้ทั่วโลกเปลี่ยนการจัดการโรคจากจัดการแบบโรคระบาดใหญ่ (pandemic) ไปเป็นแบบโรคประจำถิ่น (endemic) คือเลิกล็อคดาวน์ ปล่อยให้มันมาและไปเป็นรอบๆ ของมันเอง ในแต่ละรอบก็ปล่อยให้คนได้ทยอยป่วยด้วยโรคนี้กันถ้วนหน้า ซึ่งมีประเด็นหลักสองเรื่อง คือ
(1)การจัดดุลภาพระหว่างคนจะใช้รพ.กับเตียงรพ.ที่มีอยู่ให้ได้ดุลกันก็พอ ซึ่งทำได้สามวิธี คือ
(1.1) ระดมฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุซึ่งเป็นขาประจำ (92%)ของการเข้ารพ.ด้วยโรคโควิดให้ครอบคลุมเสีย เพราะมีหลักฐานว่าวัคซีนแม้ลดการติดเชื้อได้น้อย แต่ก็ลดการเข้ารพ.ได้มาก
(1.2) ทำการรักษาผู้ป่วยด้วยยาฆ่าไวรัสที่ได้ผลทันทีตั้งแต่ผู้ป่วยยังอยู่นอกรพ. ซึ่งในเมืองไทยตรงนี้หากอาศัยระบบหาหมอจ่ายยาอย่างปัจจุบันจะไม่ทันกิน ต้องเปลี่ยนเป็นระบบสอนให้ประชาชนรักษาตัวเองแล้วเปิดให้มียาที่ใช้รักษาตัวเองไม่ว่าจะเป็นฟ้าทลายโจร ไอเวอร์เมคติน ฟาวิพิราเวียร์ ซื้อขายกันได้อย่างเสรี มีอาการกินเลย หรือสัมผัสคนติดเชื้อมาก็กินเลย ไม่ต้องรอไปโรงพยาบาลให้หมอจ่ายยา จึงจะฆ่าไวรัสได้ทันทีและทันการณ์
(1.3) การเข็นผู้ป่วยที่เชื้อในตัวหมดฤทธิ์แล้วออกจากรพ.ให้เร็วขึ้น เอาออกไปฟื้นฟูตัวเองที่บ้านหรือที่ศูนย์ฟื้นฟูที่ไม่ใช่โรงพยาบาล เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าหลังจากมีอาการได้ 6 วันเชื้อในตัวก็หมดฤทธิ์ไปติดต่อใครไม่ได้แล้ว หากไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกักตัวไว้ในรพ.นานๆ และเรารู้อยู่แล้วว่า 30-40% จะเป็นโรคโควิดแบบลากยาว (long covid) ถ้าให้นอนแช่อยู่ในโรงพยาบาลก็จะไม่มีเตียงเหลือ
(2) คือการรับมือกับเชื้อกลายพันธ์ที่จะทยอยผลัดกันเข้ามา ถ้าค้นพบยาที่ได้ผลก็ใช้ยา ถ้าวัคซีนยังได้ผลก็ใช้วิธีฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำๆซากๆเข็ม 3, 4, 5 แต่วันหนึ่งจะมีเชื้อกลายพันธ์บางตัวที่ดื้อยาทุกตัวและแม้จะทำวัคซีนให้เจ๋งอย่างไรก็ป้องกันไม่ได้ผล ก็ต้องหันมาอยู่กับโรคไปโดยไม่มีวัคซีนไม่มียาเหมือนที่เราอยู่กับโรคหวัดและโรคไข้เลือดออกในทุกวันนี้
ทั้งหมดนั้นคือภาพใหญ่ของสถานการณ์โรคโควิด คือจะไม่หายไปไหน ต้องปรับตัวอยู่ด้วยกันไป"