ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ความรักไม่เพียงแต่ทำให้คนตาบอด แต่สร้างความเหลื่อมล้ำได้มากมายยิ่งนัก ทุกวันตอนเย็น สมพงษ์จะมีหน้าที่นับสินค้าและวัตถุดิบในสต๊อก รองเท้าส่งไปตามร้านต่าง ๆ เท่าไหร่ เหลือแผ่นหนังสีอะไรเท่าไหร่ โดยมีสุทธินีอาหมวยลูกเถ้าแก่มาคอยควบคุม สมพงษ์เป็นคนเรียนรู้เร็ว สามารถทำบัญชีง่าย ๆ ตามที่สุทธินีสอนให้นั้นได้ สมพงษ์เป็นคนสุภาพเรียบร้อย จึงเป็นที่ไว้วางใจของเถ้าแก่ บางครั้งก็ให้ติดรถกระบะที่เถ้าแก่ขับไปพร้อมกับสุทธินี ให้เข้าไปที่สำเพ็งเพื่อสั่งซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ สมพงษ์มีหน้าที่ช่วยนับและขนสินค้า แล้วมีสุทธินีคอยจดตัวเลขและทำบัญชี ทำให้สมพงษ์ได้ใกล้ชิดกับสุทธนีมากขึ้น จนดูเหมือนว่าเถ้าแก่จะไว้วางใจสมพงษ์เป็นอย่างมาก โดยบ่อยครั้งก็ได้ให้สมพงษ์ไปเป็นเพื่อนของสุทธินีในธุระอื่น ๆ ในทำนอง “บอดี้การ์ด” ที่คอยปกป้องดูแลความปลอดภัย ซึ่งสมพงษ์ก็รู้สึกพองโตในหัวใจ เหมือนว่าตัวเองได้ยกระดับ จากกรรมกรทั่วไป ขึ้นสู่ฐานะเพื่อนของเจ้านาย เวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเวลาที่สุทธินีมาช่วยทำงาน สมพงษ์จะได้รับฟัง “ความในใจ” ที่สุทธินีชอบระบายออกมาบ่อย ๆ ซึ่งสุทธินีก็คิดไปแต่เพียงว่าสมพงษ์เป็นคนที่น่าไว้วางใจ เหมือนพี่ชายคนหนึ่ง บางทีก็เล่าถึงเรื่องที่มีนิสิตร่วมรุ่นมาคอยก้อร่อก้อติก รวมถึงที่มีรุ่นพี่หลาย ๆ คนมาจีบ สมพงษ์ก็รับฟังอยู่เงียบ ๆ สุทธินีดูเหมือนว่าจะสบายใจที่ได้เล่าสิ่งต่าง ๆ ให้สมพงษ์ฟัง ที่แม้ว่าสมพงษ์จะได้แค่อือออและไม่ได้แสดงความเห็นอะไรมากนัก แต่สุทธินีก็ชอบที่จะเล่า ไม่เพียงแต่เรื่องของคนอื่น ๆ แต่รวมถึงเรื่องรสนิยมส่วนตัวของสุทธินีเอง ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ทำให้หลาย ๆ ครั้งที่สมพงษ์สามารถหาสิ่งของที่สุทธินีต้องการ โดยที่สุทธินีไม่ได้คิดว่าเป็นสิ่งที่ตนเคยพูดออกไป จึงขอบอกขอบใจสมพงษ์ด้วยอาการดีใจและพึงพอใจอย่างมาก บางทีก็เผลอจับแขนบีบมือสมพงษ์ตามประสาคนที่ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ แต่สมพงษ์กลับคิดไปว่า นี่อาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ สุทธินีอาจจะชอบเขาเข้าบ้างแล้ว นี่อาจจะเป็นบุญกุศลที่เขาได้ทำมา บางทีเขาอาจจะตกถังข้าวสาร ได้ลูกสาวเถ้าแก่มาเป็นคู่ครองก็ได้ ความสนิทสนมอย่างที่สมพงษ์เข้าใจไปเองว่า “เป็นพิเศษ” เพิ่มขึ้นตามระยะเวลา จนกระทั่งหลายเดือนต่อมาสมพงษ์ก็เริ่มแสดงความรู้สึกไม่พอใจ ในเวลาที่สุทธินีพูดถึงเพื่อนผู้ชาย บางทีก็ทำท่าทางฟืดฟาด จนสุทธินีเริ่มเห็นอาการผิดสังเกต บางวันสมพงษ์เมื่อเห็นว่าสุทธินีไม่ได้กลับมาในตอนเย็นเพื่อทำบัญชีกับเขา หลายครั้งเมื่อเลิกงานแล้วเขาก็แอบไปเฝ้าดูสุทธินีที่หน้ามหาวิทยาลัย บ่อยครั้งที่เห็นสุทธินีเดินออกมากับกลุ่มเพื่อนที่มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่บางครั้งก็เดินออกมากับผู้ชายแบบสองต่อสอง หน้าเดิมบ้าง เปลี่ยนหน้าบ้าง เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ บางทีก็รู้สึกเหมือนมีไฟร้อน ๆ สุมอยู่ข้างในหน้าอก ร่วมกับอาการปวดหัวหนึบ ๆ เหมือนสมองจะระเบิด ซึ่งเขาไม่รู้ว่านั่นคืออาการของความหึงหวงอย่างรุนแรง วันต่อมาเขาเมื่อเขาเจอสุทธินี เขาก็เผลอพูดบางสิ่งที่ทำให้สุทธินีรู้ว่าเขาไม่พอใจ พอสุทธินีซักไซ้ด้วยความห่วงใย สมพงษ์ก็พูดออกมาว่าเขาไม่ชอบให้สุทธินีใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่น สุทธินีจึงเริ่มจะจับความได้ว่าสมพงษ์ชอบเธอ ในขณะที่เธอไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอจึง “อบรม” สมพงษ์ว่า เธอไม่ได้คิดกับสมพงษ์แบบนั้น และขอให้เลิกคิด “พิลึก ๆ” แบบนั้นเสีย เถ้าแก่เนี้ยคงได้ฟังเรื่องนี้จากลูกสาว จึงได้มาต่อว่าสมพงษ์ โดยใช้คำแรง ๆ รวมถึงคำว่า “หมามองเครื่องบิน” พร้อมกับย้ายให้ไปเป็นกรรมกรส่งของให้ลูกค้า ไม่ให้นั่งประจำในโรงงานอีกต่อไป สมพงษ์รู้สึกเสียใจมาก แต่ด้วยความที่เป็นคนเชื่อในเรื่องของบุญกรรม เขาจึงคิดว่าเขากับสุทธินีคงทำบุญมาด้วยกันเพียงแค่นี้ และเขาก็เป็นฝ่ายผิดเองที่ไปทึกทักเองว่าสุทธินีมีใจให้เขา วันรุ่งขึ้นเขาจึงไม่ไปทำงาน หลายวันต่อมาก็มีคนจากโรงงานมาตามหาเขา บอกว่าเถ้าแก่ให้มาตามไปทำงาน เขาจึงบอกว่าเขาลาออก แต่เขาก็อดถามไม่ได้ว่าสุทธินีเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งคนที่มาตามก็บอกว่า ไม่เห็นเธอพูดอะไร สมพงษ์จึงเข้าใจว่าสุทธินีคงไม่แคร์เขาแล้ว และนี่ก็คือผลกรรมที่เขาคิดใฝ่สูงเกินศักดิ์ ซึ่งเขาจำต้องก้มหน้ายอมรับในยถากรรมนี้ สมพงษ์นำเงินที่เก็บไว้ได้ในระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมานับจำนวนได้เกือบ 2 หมื่นบาท นับว่าเป็นเงินจำนวนมากทีเดียวสำหรับ พ.ศ. นั้น ที่ทองคำราคาเพียงบาทละสองพันกว่าบาท เงินที่เขาคิดวางแผนจะเอาไว้สู่ขอตกแต่งเจ้าสาว เขาเอามาเซ้งป้ายวินแท็กซี่ ที่เรียกว่า “ป้ายเหลือง” ในทำนองเป็นแป๊ะเจี๊ยะ เพื่อให้ได้ใบอนุญาตขับรถสาธารณะ ซึ่งถ้าจะซื้อขาดต้องจ่ายกันเป็นแสนเลยทีเดียว เขาขับรถเป็นตั้งแต่ที่ติดรถส่งของไปกับเถ้าแก่ แล้วเถ้าแก่ก็ใจดีสอนให้เขาขับ เผื่อว่าจะได้เป็นมือสำรองและช่วยขับรถต่อไป แต่วาสนาเขาไปไม่ถึง ด้วยหมายปองของสูง ซึ่งเขาก็ไม่ได้เสียใจ เพียงแต่น้อยใจว่าบุญที่เขาเคยคิดว่าเขาทำมามากแล้วนั้น ก็ยังไม่พอเพียงที่จะทำให้เขาสมหวังในความรักนั้นได้ สมพงษ์ย้ายบ้านเช่าไปอยู่แถวถนนบรรทัดทอง เพื่อให้ได้อยู่ใกล้อู่แท็กซี่ที่เขาเช่า ค่าเช่าห้องเดือนละ 500 บาท แพงกว่าที่เคยอยู่ตลาดพลูเท่าตัว ค่าเช่ารถกะละ 200 บาท กะหนึ่งคือครึ่งวัน จากบ่ายสามถึงตีสามเป็นกะแรก และตีสามถึงบ่ายสามของอีกวันเป็นกะที่สอง ค่าน้ำมันรถอีกพอ ๆ กัน วันหนึ่งถ้าวิ่งกะเดียวก็จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 400 บาท สมัยนั้นหากินยังดี รถก็ไม่ติด กะหนึ่ง ๆ จะได้ผู้โดยสารไม่น้อยกว่าสิบเที่ยว โชคดีอาจจะถึง 14 หรือ 15 เที่ยวเลยทีเดียว เฉลี่ยเที่ยวละ 50 บาท อย่างน้อยวันหนึ่งวิ่งกะเดียวก็ได้กำไรแล้วกว่า 100 บาท มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำใน พ.ศ. นั้น ที่ได้แค่ 30-40 บาทต่อวัน สมพงษ์นั้นวิ่งประจำในกะแรก แต่บางวันคนขับกะสองไม่มาหรือไม่สบาย เขาก็ “ควงกะ” คือวิ่งควบเต็มวัน แต่เขาก็ทำไม่บ่อยนัก เพราะมันจะทำให้เสียสุขภาพที่ไม่ได้พักผ่อน แล้วยิ่งภายหลังต่อมาเขาได้เข้าไปข้องแวะกับสุรายาเมา ยิ่งทำให้ส่งผลต่อสุขภาพ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือได้ส่งผลต่ออนาคตของเขาอย่างกู่ไม่กลับ ซึ่งทำให้เขามาเสียใจภายหลัง ในเรื่องที่เขาไม่อาจจะกลับไปเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ สมพงษ์ขับรถแท็กซี่ด้วยความสุข เขาสนุกสนานกับการที่ได้ตะลุยไปตามย่านต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ หรือบางทีก็ต่างจังหวัดใกล้ ๆ ได้เจอผู้คนมากมาย ได้ฟังเรื่องราวจากผู้คนเหล่านั้นอย่างไม่รู้จักเบื่อ และด้วยความที่สมพงษ์เป็นคนพูดน้อย ผู้โดยสารจึงมักจะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังเป็นส่วนใหญ่ เรื่องที่เล่าอาจจะมีทั้งที่จริงบ้างเท็จบ้าง แต่งขึ้นให้ผู้เล่าดูดีบ้าง หรือเล่าให้น่าสงสารบ้าง ซึ่งเรื่องชีวิตเศร้า ๆ นี่แหละที่เขาชอบฟังที่สุด เพราะส่วนหนึ่งมันช่างคล้ายกับชีวิตของเขาที่เพิ่งจะพบเรื่องแสนเศร้ามาหมาด ๆ เป็นความเศร้าที่เขาลืมไม่ลง ที่เขาไม่คิดว่าจะมีเรื่องที่เศร้าไปกว่านั้นอีก เขาประมาทชีวิต ชีวิตที่ไม่เท่าเทียม และเขาก็ไม่รู้ว่า ความรักที่เขาทุ่มเทในทุกครั้ง ก็ยิ่งทำให้ความไม่เท่าเทียมนั้นถ่างออกไปไกลเรื่อย ๆ