ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ภาวะแห่งการอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างสงบงามด้วยใจอันสอดผสานและครวญคิด ถือเป็นสถานะและบทบาทแห่งการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่ต่อใจอันประเสริฐ ในนัยสัมผัสต่อโลกแห่งชีวิตอันทรงคุณค่า โลกที่สอนให้เราทบทวนตนเองถึงความประจักษ์แจ้งอันถ่องแท้และลึกซึ้ง... เป็นการไขรหัสสู่การก่อเกิดเวิ้งรู้แห่งปัญญาญาณอันกระจ่างแจ้ง โดยเฉพาะสัมผัสแห่งการน้อมรับความรักแห่งรักของพระผู้เป็นเจ้าเอาไว้ภายในตัวตนแห่งตนด้วยศรัทธาอันแนบชิด...ส่งผลให้สลัดพ้นจากตัณหากิเลส ลุล่วงต่อการเข้าใจด้วยหัวใจ..ข้ามพ้นความมัวเมาทั้งหลายทั้งปวงสู่วิถีแห่งปัญญาญาณอันบริสุทธิ์ไปได้...ในที่สุด..”
นี่คือ...วิถีแห่ง “ซูฟี” วิถีแห่งศาสนธรรมหนึ่งอันเกรียงไกร ที่สอนให้เราได้ปีนป่ายและตระหนักรู้ที่จะหลุดพ้นขึ้นมาจากหุบเหวของกิเลศตัณหาอันมืดดำและยึดติด..สู่ความสุกสว่างแห่งตัวตน...ด้วยลีลาของบทกวีที่ขับขานถึงความจริงแท้แห่งชีวิต เปิดเปลือยในเปิดเปลือยต่อความงามของธรรมชาติแห่งจิตอันพิสุทธิ์พิศาล ที่ยึดพยุงให้เราได้จดจ่ออยู่กับเนื้อแท้ของชีวิต โดยปลดวางอัตตาที่ร้อยรัดทั้งปวงให้หลุดพ้นออกไปจากเงื่อนงำของกายและใจ จนบรรลุถึงความผ่องแผ้วทางความรู้สึก...ลืมเลือนความทุกข์ซึ่งเสียดแทงที่เคว้งคว้างอยู่กับอดีตและปัจจุบันไปได้...นั่นคือการกำหนดทิศทางของอนาคตด้วยสัมผัสแห่งใจอันสงบนิ่งและหยั่งรู้ภายในโดยแท้...
“ขอจงอย่าได้วิตก
หากแสงเทียนของโลกทั้งโลก
จักริบหรี่และดับมอดลง
ผองเราล้วนมีประกายภายใน
ที่พร้อมจะจุดไฟขึ้นใหม่ได้เสมอ”
ประกายไฟภายในของเราทุกคน คือแสงฉายของดวงตะวันชีวิต ที่ส่องให้เราได้เห็นลักษณาการที่แท้แห่งความหมายของความเป็นไป ในทุกๆขณะของย่างก้าวทุกๆย่างก้าวแห่งจิตของการรับรู้...และ ตราบใดที่จิตของคนเราต่างรู้ตัวทั่วพร้อมที่จะรับรู้ สัจจะแห่งการพานพบก็จะก้าวข้ามผ่านม่านบังตาของความอ่อนล้า ออกไปก่อผัสสะอันชิดใกล้ ต่อความเป็นจริงอันสถาพรได้ไม่ยาก...
“ในที่สุดเมื่อเธอประจักษ์ชัดผ่านผืนม่านบังตานั้นไป
เพื่อพานพบกับสัจจะ ตามที่มันเป็นอยู่จริงแล้วไซร้
เธอจักได้แต่เพียงเอื้อนเอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกมา
นี่หาใช่สิ่งที่เราเคยคิดคำนึงมาก่อนแต่อย่างใดไม่”
บางขณะ...ในห้องหับแห่งเวิ้งรู้ทางความคิดก็มิอาจเปิดประตูให้กว้างออกได้ทุกบาน แม้จะตั้งอยู่ในริ้วรอยของปรารถนา แต่ในทุกที่ทางบนโลกนี้ก็ล้วนแต่มีความลับของความลับ มันคือปริศนาแห่งใจอันเร้นลับของโลก ที่สานสอดระบบความคิดไว้ด้วยแก่นสารแห่งจิตวิญญาณที่ต้องตีความ..ดั่งนี้...ความลับจึงเป็นด้านหนึ่งของเอกภพแห่งใจ ที่ต้องเพียรพยายามต่อการค้นหาคำตอบอันใสสะอาดด้วยกันอย่างละไมละเมียด
“ข้าฯ มิอาจให้เจ้าล่วงรู้ถึงความลับทั้งมวลได้
ข้าฯ มิอาจเปิดประตูให้เจ้าได้หมดทุกบาน
มีบางสิ่งภายในนั้น ซึ่งทำให้ข้าฯ ปีติยิ่ง
ทว่าข้าฯ ก็ยังไม่อาจเอื้อมนิ้วใด
ไปยังแหล่งกำเนิดนั้นได้เช่นกัน”
มีเพียงการเปิดหน้าต่างแห่งหัวใจของเรา...ออกไปให้กว้าง เพื่อให้จิตวิญญาณของเราได้บินเข้าบินออกอย่างสะดวก..วิถีดั่งนี้จักทำให้ดวงวิญญาณทั้งปวงผนึกความเป็นตัวตนเข้าด้วยกัน...มันคือภาพแสดงแห่งอรุณรุ่งภายใน ที่ทำให้ชีวิตได้สื่อสารกับประกายใจอันลุกโชน เพื่อการก้าวไปสู่นิเวศสถานทางปัญญาได้อย่างรื่นรมย์และเข้าใจ...
“เปิดหน้าต่างในใจกลางอกของท่านเสียเถิด
ปล่อยให้จิตวิญญาณโผบินผ่านเข้าและออก
มีอรุณรุ่งภายใน
เฝ้ารอที่จะพลุ่งโพล่งสู่แสงสว่าง
บัดนี้ได้เวลาแล้วที่จะผนึกรวมวิญญาณเข้ากับโลก
บัดนี้ถึงกาลที่จะประจักษ์แสงตะวัน
ร่ายระบำอย่างเป็นหนึ่งเดียวกับเงามืดทั้งมวล”
ผลแห่งการรอบรู้เช่นนี้...ทำให้เราสามารถค้นพบความหมายโดยรวมแห่งตน ความหมายที่สะท้อนถึงรากลึกของการหยั่งรู้...อะไรซ่อนลึกอยู่ในความหมายของสิ่งใดที่จักต้องแปลความออกมา มันคือรหัสยนัย ที่ดูเหมือนจะถอดรหัสได้ไม่ยาก แต่กลับมีความล้ำลึกเกินจะหยั่งถึงได้อย่างสามัญ..
“เธอมิใช่หยดหนึ่งในมหาสมุทร
ทว่าเธอคือมหาสมุทรทั้งมวล
ในหยดหนึ่ง”
ตัวตนที่แท้ของเราอยู่ที่ไหนกันเล่า?...คำถามนี้จึงบังเกิดขึ้นในท่ามกลางการรับรู้ผ่านการหยั่งรู้ในข้อประจักษ์ทั้งมวล....ท่าน”รูมี”ได้สอนถึงความเป็นเช่นนั้นเสมอในภาพแสดงแห่งการหยั่งเห็นนัยของตัวตน กระทั่งสอนให้เห็นถึงการแปรเปลี่ยนอันบังเกิดอย่างซ้ำๆว่ามันเกิดขึ้นและดับสูญไปด้วยเหตุใด?...ด้วยความแปรผันนี้ ชีวิตจึงมีเงาร่างของบทสะท้อนอันมีองค์ประกอบทั้งความสูญสลายและความงอกเงยสมบูรณ์ระคนกัน อย่างแยกไม่ออก มันคือการบรรลุถึงจักรวาลนิยม ที่ซ่อนลึกอยู่ในมหาสมุทรแห่งใจอันดิ่งลึกและเงียบสงบ...ถาวร
“ข้าฯได้เพียงมองหาตัวข้าฯที่แท้
ทว่าตัวตนแห่งข้านั้นได้สูญไปสิ้นแล้ว
พรมแดนแห่งชีวิตที่เป็นอยู่
ได้มลายไปท่ามกลางมหาสมุทร
เกลียวคลื่นแตกสลาย
สติฟื้นตื่นขึ้นอีกครั้ง
พระสุรเสียงแห่งพระองค์
ปลุกข้าฯหวนคืนสู่ตัวตนที่แท้
มันเป็นเช่นนี้เสมอ
ทะเลแปรผันตนเองพร้อมบรรดาฟองคลื่น
ก่อร่างสร้างตัวเป็นรูปแบบแห่งสรรพชีวิต
ครั้นทะเลส่งสำเนียงวาจาแห่งพระองค์มาให้สดับ
สรรพางค์กายแห่งฟองคลื่นเหล่านั้น
จึงได้สลายตน
กลับคืนสู่มหาสมุทรอีกครา”
นี่คือ..หนังสือแห่งการตื่นรู้ทางปัญญา และ การประจักษ์แจ้งทางจิตวิญญาณที่เจิดกระจ่าง...สื่อสารได้อย่างหยั่งลึก ผ่านอัศจรรย์ที่กำหนดแนวทางอันวิจิตรทางปัญญาเอาไว้ ภาษาสื่อสารของบทกวีเน้นย้ำถึงการก้าวย่างในลีลาชีวิตอันมุ่งมั่น...มีเป้าหมายแห่งเจตจำนงและมีบทสรุปอันอเนกอนันต์ด้วยพลังศรัทธาอันเปี่ยมล้น
“จงมีใจเปี่ยมไปด้วยความกระหาย
ค้นหามิรู้วายโดยไร้การหยุดพัก
ให้ความปรารถนาอันเงียบงัน
ที่เร้นลึกอยู่ภายในเธอนั้น
เป็นต้นกำเนิดแห่งวาจาทั้งมวล
ที่เธอเอื้อนเอ่ยเถิด”
“เมาลานา ญะลาลุดดิน รูมี”..ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นกวีในนิกายซูฟี..นิกายที่ว่ากันว่า..มีใจบุญ ดำรงอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างเป็นหนึ่งเดียว..เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าได้ในทุกขณะ และ..ก่อเกิดการเชื่อมโยงจิตใจกับจิตวิญญาณเข้าด้วยกันในทุกขณะจิต...
“มนัส ปรัชญาถาวรกุล”..แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาด้วยภาษาที่เปี่ยมเต็มไปด้วยนัยสำนึกอันตรึงตาตรึงใจ...ด้วยภาษาแห่งจิตอันบริสุทธิ์สู่การรับรู้ในรู้สึก...สู่การ “ไม่ค้นหาในค้นหาอันเป็นนิรันดร์”
“ขอได้โปรดอย่าค้นหาข้าฯ ในโลกนี้หรือโลกไหน/เนื่องด้วยทั้งสองโลกใดๆนั้น ได้ปลาสนาการไปสิ้นแล้ว/ภายใต้โลกแห่งตัวตนที่ข้าฯเป็น”