ยกให้เป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ที่ร้ายกาจสุดๆ ยิ่งกว่าสายพันธุ์ไหนๆ ที่ผ่านมาเลยทีเดียว สำหรับ “โควิด-19 สายพันธุ์เดลตา” ที่พบการกลายพันธุ์ และแพร่ระบาดเป็นครั้งแรกในประเทศอินเดีย ซึ่งเริ่มอุบัติขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ทั้งนี้ เพราะระบาดแรง แพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว หลบภูมิคุ้มกันได้ ส่งผลให้โควิด-19 สายพันธุ์เดลตา อาละวาดไปแล้วในพื้นที่ 132 ประเทศทั่วโลก ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีมากกว่า 1.8 ล้านคน สำหรับเฉพาะผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์นี้ ตามที่มีรายงานทางการแพทย์ ระบุว่า นอกจากผู้ที่อยู่ในวัย “ผู้ใหญ่” ต้องเป็นเหยื่อติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตานี้ จนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ เพราะได้ป่วยไปตามๆ กันแล้ว ก็ปรากฏว่า เด็กๆ จำนวนไม่น้อย ทั้งเด็กเล็ก เด็กโต ไปจนถึงวัยรุ่น วัยโจ๋ ก็ตกเป็นเหยื่อติดเชื้อของเจ้าไวรัสโควิดตัวร้ายสายพันธุ์เดลตา ซึ่งที่ผ่านมา ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้า ที่บรรดาเด็กๆ ไม่ค่อยได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่ คือ มีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่มากนัก ผิดแผกแตกต่างกับเมื่อช่วงหลังการปรากฏโฉมของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา แถมมิหนำซ้ำ การติดเชื้อในหมู่เด็กๆ ก็ถึงขั้นล้มป่วย ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลกันเป็นจำนวนมาก อันเป็นสภาพการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ไหนๆ ที่ผ่านมา โดยมีเคสสตัด กรณีตัวอย่าง จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ในหมู่เด็กๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการเก็บสถิติตัวเลขอย่างเป็นระบบ โดยทาง “ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ” หรือ “ซีดีซี” ได้ดำเนินการจัดเก็บสถิติข้อมูลเกี่ยวกับการป่วยด้วยโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในหมู่เด็ก ยาวชนขึ้น ก่อนเผยแพร่เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า ข้อมูลจาก “ซีดีซี” ระบุว่า โควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ระบาดเร็ว และรุนแรง ในช่วงฤดูร้อน หรือซัมเมอร์ ที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ (ฤดูร้อนในแถบประเทศซีกโลกเหนือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. และจะไปสิ้นสุดในวันที่ 21 ก.ย.ของทุกปี) ซึ่งผิดคาด พลิกความคาดหมาย กันก่อนหน้า ที่ว่า ฤดูร้อนเชื้อไวรัสไม่น่าจะระบาดเร็วและรุนแรง เหมือนกับฤดูกาลอื่นๆ โดยเฉพาะฤดูกาลที่อากาศหนาวเย็น แต่กลับกลายเป็นโควิด-19 สายพันธุ์กลับแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนน่าวิตก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงในหมู่เด็ก เยาวชน ที่ปรากฏว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหมในกลุ่มนี้มีตัวเลขทะยานพุ่ง กระทั่ง สามารถกล่าวได้ว่า เด็ก เยาวชน ที่อายุ 17 ปี และต่ำกว่านั้น ต้องกลายเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ครบทุก 50 รัฐ ของสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว ใช่แต่เท่านั้น ผู้ติดเชื้อเหล่านี้ จำนวนไม่น้อยต้องถึงขั้นถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล คือ ติดเชื้อแบบสำแดงอาการ โดยมีอาการป่วย และหลายรายด้วยกัน ต้องถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินของทางโรงพยาบาล จากการเฝ้าสังเกตการณของเจ้าหน้าที่ซีดีซี ที่ไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยโควิดเด็กเหล่านี้ตามโรงพยาบาลต่างๆ ในการเก็บข้อมูลของซีดีซี ยังพบด้วยว่า อัตราเด็กที่ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา มีเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย. อันเป็นห้วงรอยต่อของเปลี่ยนฤดูกาล จากฤดูใบไม้ผลิ มาสู่ฤดูร้อน ไปจนถึงเดือน ส.ค. ที่เพิ่งผ่านพ้นมา ปรากฏว่า เด็ก เยาวชน วัยรุ่น ในสหรัฐฯ ต้องติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์นี้มากไม่ต่ำกว่า 8 ถึงกว่า 10 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่นๆ ที่ผ่านมา โดยมีตัวเลขรายละเอียดของทางซีดีซี เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เด็กที่มีอายุ 4 ขวบ หรือน้อยกว่านั้น มีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 16 ต่อ 100,000 คน มากกว่าในช่วงเดือน มิ.ย. ที่มีตัวเลขอัตราการป่วย 2 ต่อ 100,000 คน ส่วนในการเก็บข้อมูลของเด็กวัย 5 – 11 ขวบ ที่ติดโควิด พบว่า มีอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 29 ต่อ 100,000 คน สำหรับช่วงเดือน ส.ค. ที่เพิ่งผ่านพ้นมา และ 2 ต่อ 100,000 คน สำหรับตัวเลขของเดือน มิ.ย. ขณะที่ ในช่วงสิ้นเดือน ส.ค. ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ปรากฏว่า ประชากรเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 – 17 ปี มีอัตราการติดเชื้อโควิดอยู่ที่ 33 ต่อ 100,000 คน มากกว่าเมื่อช่วงเดือน มิ.ย.ถึง 11 เท่า ที่ตัวเลข 3 ต่อ 100,000 คน ในการศึกษาวิจัยต่อเนื่องจากนั้น ยังพบด้วยว่า กว่า 3,100 ราย ของเด็กที่ติดเชื้อโควิดในพื้นที่อย่างน้อย14 รัฐ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล นับตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 เดลตา คุกคามพวกเขาเมื่อช่วงเดือน มิ.ย.เป็นต้นมา ในจำนวนนี้ร้อยละ 27 ต้องถึงขั้นหามเข้าห้องไอซียู และร้อยละ6 ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจกันเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ของผู้ป่วยโควิด นั่นเป็นตัวเลขของสถานการณ์ผู้ป่วยโควิดในเด็ก เยาวชน วัยรุ่น ของระหว่างช่วงเดือน มี.ค. ถึงกลางเดือน มิ.ย. ก่อนสถานการณ์เลวร้ายขึ้นหลังช่วงปลายเดือน มิ.ย. เป็นต้นมา ถึงสิ้นสุดเดือน ส.ค. โดยเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. นั้น ตัวเลขเด็กติดเชื้อโควิดจนต้องเข้าห้องไอซียูของทางโรงพยาบาล มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 27 ส่วนผู้ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 นอกจากนี้ ยังมีเด็ก เยาวชน วัยรุ่น เสียชีวิตจากโควิดเดลตามรณะอีกจำนวนหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และสาธารณสุขทั้งหลาย จึงได้แนะนำว่า ทางการต้องมีแผนการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้แก่เด็กๆ เยาวชน ตลอดจนวัยรุ่น เหล่านี้ด้วย หลังจากที่เหล่าบริษัทยาและเวชภัณฑ์หลายแห่ง ได้วิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้แก่เด็กๆ ในช่วงอายุต่างๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค โมเดอร์นา ซึ่งเป็นกลุ่มวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีแบบเอ็มอาร์เอ็นเอ หรือเชื้อเป็น ทางฟากตะวันตก หรือแม้กระทั่งวัคซีนกลุ่มวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีแบบเชื้อตาย อย่างซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ของทางฝั่งจีน โดยวัคซีนของบริษัทยาและเวชภัณฑ์เหล่านี้ ก็วิจัยพัฒนา จนสามารถฉีดให้แก่เด็กและเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปี ขึ้นไป และพยายามที่วิจัยพัฒนาให้สามารถใช้ฉีดในเด็กที่มีอายุต่ำกว่านั้นได้ ล่าสุด ทางการคิวบา ประเทศสังคมนิยมที่ถูกปิดล้อม คว่ำบาตร จากสหรัฐฯ สารพัด ก็ได้วิจัยพัฒนาวัคซีนขนานที่พวกเขาผลิตขึ้นเองอย่างขนาน “อับดาลา” และ “โซเบรานา” ที่ทางการรัฐบาลฮาวานา กล่าวอ้างเคลมว่า สามารถฉีดให้แก่เด็กอายุ 2 ขวบขึ้นไป ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่ได้รับรองจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญและองค์การอนามัยโลก แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของผู้ใหญ่เรา ในการปกป้องเด็กน้อยเหล่านี้ จากไวรัสโควิดมรณะ และเพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมาทำกิจกรรมต่างๆ ได้อีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดที่คาดว่าจะยืดเยื้อยาวนาน