"โควิดไทย" ลดต่อเนื่อง พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,786 ราย เสียชีวิต 136 ราย ทำเนียบฯ ผวา!! พบ "ผู้สื่อข่าว"ผลตรวจ ATK เป็นบวก แจ้งสื่อออกจากทำเนียบฯทันที กลับเข้าทำงานอีกครั้ง 27 ก.ย.นี้ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.64 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 11,786 รายจำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 11,515 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 271 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 1,377,679 ราย หายป่วยกลับบ้าน 14,738 รายมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 136 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสม 14,527 ราย ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ได้พบผู้สื่อข่าวสำนักหนึ่งติดเชื้อโควิด-19 โดยเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในทำเนียบฯตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งผู้สื่อข่าวรายดังกล่าวได้ติดตามทำข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯรวมทั้งเดินทางไปรายงานการชุมนุมทางการเมืองตลอดสัปดาห์ที่ผ่าน มาตลอดจนทำงานใกล้ชิดกับสื่อมวลชนในทำเนียบฯ ทั้งนี้ น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ที่ปรึกษานายกฯ ได้ประกาศแจ้งสื่อมวลชนทั้งหมดที่ปฏิบัติงานในทำเนียบฯ ให้ออกนอกพื้นที่ทันที เพื่อจะทำความสะอาดและให้กลับเข้ามาปฏิบัติงานในทำเนียบฯในวันที่ 27 ก.ย.64 เป็นเวลา 14 วัน พร้อมแสดงผลตรวจ ATK ก่อนเข้ามาทำเนียบฯ อีกครั้ง สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านางจาซินดา อาเดิร์น นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งนิวซีแลนด์ แถลงถึงการขยายการบังคับใช้มาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ ระดับที่ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งยังคงลุกลามอย่างรุนแรงที่เมืองออคแลนด์ โดยขยายเวลาการบังคับใช้ออกไปถึงวันที่ 21 ก.ย.นี้ก่อนที่จะผ่อนคลายมาตรการลงไปสู่ระดับ 3 ต่อไป แต่บรรดาออฟฟิศสำนักงานต่างๆ รวมถึงโรงเรียน และกิจกรรมในที่สาธารณะ ยังคงให้บริการต่อไป รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงสาธารณสุขของนิวซีแลนด์ เปิดเผยสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด- 19 สายพันธุ์เดลตา โดยพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 33 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวน 3,966 รายมากเป็นอันดับที่ 186 ของโลก ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 27 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 3,335 ราย ทางด้าน ทางการมหานครนิวยอร์กรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ เริ่มการบังคับใช้นโยบายบังคับฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แก่ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ที่ต้องการเข้าไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ได้แก่ ร้านอาหาร โรงยิมสถานออกกำลังกาย โรงละคร และพิพิธภัณฑ์ โดยกำหนดให้ประชาชนต้องแสดงหลักฐานว่าได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ก่อนได้รับอนุญาตให้เข้าใช้บริการ รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนเจ้าของธุรกิจ จะต้องตรวจสอบหลักฐานผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ที่จะเข้ามาใช้บริการว่า ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม หรือ 1 โดส ก่อนที่จะอนุญาตให้เข้าไปภายในสถานที่ ซึ่งในส่วนเจ้าของธุรกิจต่างๆ นี้ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของทางการมหานครนิวยอร์ก ออกตระเวนตรวจสอบอีกทีว่า บรรดาเจ้าของธุรกิจต่างๆ นั้นปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวหรือไม่ โดยหากพบว่ามีการฝ่าฝืน ก็จะต้องถูกปรับเป็นเงินตั้งแต่ 1,000 - 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็นเงินไทยราว 32,940 -164,700 บาท) ด้านสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ หรือเอเอพี เปิดเผยสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มเด็ก พบว่า เด็กในสหรัฐฯ มีอัตราการป่วยติดเชื้อรายใหม่จำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้ามีเด็กติดเชื้อรายใหม่จำนวนมากถึง251,781 ราย ซึ่งมากเป็นอัตราร้อยละ 240 เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วง ก.ค.เป็นต้นมา ที่มีพบเด็กติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 71,726 ราย โดยทางเอเอพี ยังระบุด้วยว่า อัตราการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มเด็ก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ จากการที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีเด็กติดเชื้อจำนวนรวมแล้วกว่า 5 แสนราย ส่งผลมียอดเด็กติดเชื้อจำนวนสะสมอยู่ที่ 5.3 ล้านราย นับตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดในสหรัฐฯ รายงานข่าวแจ้งว่า เหตุปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เด็กในสหรัฐฯ มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาจากการที่โรงเรียนในสหรัฐฯ เริ่มเปิดการเรียน การสอน อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญ มีคำแนะนำว่า ให้ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เพื่อปกป้องมิให้ผู้ปกครองแพร่เชื้อไปยังบุตรหลานที่ยังไม่มีสิทธิ์ได้รับการฉีดวัคซีน สำหรับ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ ยังคงลุกลามอย่างรุนแรง จากการที่มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมมากที่สุดในโลกจำนวน 42,140,103 ราย และมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตมากที่สุดในโลกจำนวน 680,274 รายส่วนผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 32,062,905 ราย ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ในพื้นที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปรากฏว่า ยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ล่าสุด มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 226,120,068 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 4,652,978 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 202,771,148 ราย