"รมว.คลัง"มั่นใจรัฐบาลไร้ปัญหาหารายได้เพิ่ม แม้กู้เงินแก้โควิดเยอะ แย้มวางโครงสร้าง ศก.ในอนาคตแล้ว ด้าน"สศค."พร้อมกดปุ่มโอน 4 หมื่นล้าน เติมคนละครึ่ง 26.9 ล้าน แจกคนละ 1,500 บาท เริ่ม 1 ต.ค.นี้ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.64 น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังพร้อมเติมเงินโครงการคนละครึ่ง 1,500 บาท ให้กับผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 26.9 ล้านคน ในวันที่ 1 ต.ค.64 โดยจะใช้งบประมาณในการโอนทั้งสิ้นกว่า 40,350 ล้านบาท ซึ่งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ประชาชนใช้จ่ายในเดือนต.ค.-ธ.ค.64 ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว หรือ 80,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายให้ขยายตัวได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะยังไม่มีการปิดรับสมัคร และยังคงเปิดรับลงทะเบียนคนละครึ่งอย่างต่อเนื่อง โดยหากใครสมัครเข้าร่วมหลังวันที่ 1 ต.ค.64 จะได้รับวงเงินสำหรับใช้จ่าย 3,000 บาท แต่ยังคงเงื่อนไขการใช้จ่ายเหมือนเดิม โดยรัฐจะช่วยจ่าย 50% ไม่เกินวันละ 150 บาท จนถึง 31 ธ.ค.นี้ หรือจนกว่าจะใช้หมดวงเงิน ส่วนกรณีที่ยังใช้วงเงินรอบแรก 1,500 บาทไม่หมด จะไม่ถูกยึดคืน และยังสามารถเก็บไว้ใช้จ่ายได้ยาวจนถึงสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ในช่วงเดือนต.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะมีการปรับหลักเกณฑ์ให้สามารถนำสิทธิโครงการคนละครึ่ง มาใช้จ่ายซื้ออาหารผ่านแพลทฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ได้ด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายให้กับประชาชนสอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ นิว นอร์มัล ส่วนข้อเสนอภาคเอกชนที่ต้องการให้กระทรวงการคลังเพิ่มวงเงินคนละครึ่งในช่วงไตรมาสสุดท้าย ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาเพิ่มและยังคงเงื่อนไขเดิมต่อไป วันเดียวกัน นาย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เปิดงาน LiVE Demo Day: The New Road to Capital Market ในหัวข้อ "ยุทธศาสตร์ส่งเสริม SMEs / Startups ยกระดับขีดความสามารถและขับเคลื่อน" ว่า ในช่วงที่ผ่านมา 2 ปี ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจและ รัฐบาลจึงได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาโรคระบาด และเยียวยา พร้อมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะรายได้ของไทยหายไปจากการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเที่ยวท่อง โรงแรม ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (ซัพพลายเชน) รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ได้รับความเดือนร้อน อย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปีนี้ ยังแสดงให้เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้ว่านักวิเคราะห์คาดว่าเมื่อการระบาดของโควิดรอบที่ 2-3 จะทำให้เศรษฐกิจไทยไปไม่รอด แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โตถึง 7.5% และเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสก็ถือว่าดีขึ้นตามลำดับ แม้ว่าจะไม่แข็งแรงมาก ขยายตัวศูนย์กว่าเปอร์เซ็น แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ส่วนกรณีที่รัฐบาลมีการกู้เงินจำนวนมากถึง 1.5 แสนล้านบาท ผ่าน พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และพ.ร.ก. เงินกู้เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทในการแก้ปัญหาและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 นั้น นายอาคม กล่าวว่า ถือเป็นความจำเป็นในการใช้เครื่องมือทางการคลังเข้ามาช่วยในภาวะที่นโยบายการเงินไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ และทุกประเทศก็มีการกู้เงินในช่วงวิกฤตนี้ และยืนยันรัฐบาลไม่มีปัญหาในเรื่องของการหารายได้เพิ่มขึ้น เพราะรัฐบาลได้วางโครงสร้างที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศในอนาคต เช่น โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค