ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ชีวิตคือการต่อสู้ไปสู่เป้าหมาย แต่เมื่อละวางเป้าหมายนั้นแล้วก็ประสบชัยชนะได้
ปู่กับย่าของผมมีลูก 7 คน ผู้ชาย 4 ผู้หญิง 3 อาสมพงษ์เป็นลูกชายคนสุดท้อง ตอนที่ผมไปอยู่กับปู่และย่า อาสมพงษ์เพิ่งสึกจากพระมาไม่นาน คนในหมู่บ้านจึงเรียกว่า “ทิดพงษ์” ทิดพงษ์เป็นหนุ่มที่มีหน้าตาค่อนข้างดี ผิดกับหนุ่มอีสานทั่ว ๆ ไป คือมีผิวค่อนข้างขาว สูงโปร่ง จมูกโด่งเป็นสัน หน้ารูปไข่ และผมหยักศก เรียกว่าพอเป็นพระเอกหนังได้เลยทีเดียว ซึ่งทิดพงษ์ก็คงคิดว่าตนเองเป็นอย่างนั้น จึงพยายามแต่งตัวให้ดูดี หวีผมด้วยน้ำมันจนเรียบแปล้ เสียแต่ว่าที่บ้านไม่ได้ร่ำรวย เลยมีชุดหล่ออยู่เพียงชุดเดียว คือชุดที่ใส่ตอนวันลาสิกขานั่นแหละ ทิดพงษ์จึงไม่ค่อยเดินไปไหนมาไหนในหมู่บ้าน ชอบเก็บตัวเงียบ สาว ๆ คนไหนถ้าอยากไปเห็นหน้า ก็ต้องขยันเดินโฉบ ๆ ไปข้างบ้านเอาเองบ่อย ๆ ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นทิดพงษ์ได้โผล่หน้าออกมาให้ได้ชื่นใจบ้าง
อาสมพงษ์เรียนจบแค่ชั้นประถม 4 เหมือนกันกับชาวอีสานโดยทั่วไปในยุคนั้น และด้วยการที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกคนสุดท้อง ทำให้อาสมพงษ์ไม่ได้ทำงานในไร่นาเหมือนพวกพี่ ๆ อาสมพงษ์จึงเป็นคนแบบที่ภาษาไทยเรียกว่า “หยิบโหย่ง” คือทำอะไรด้วยตัวเองไม่ค่อยเป็น ติดนิสัยที่จะต้องมีคนช่วยหรือคอยเอาใจ แต่อาสมพงษ์ก็เป็นคนที่มีความฝัน มีความทะเยอทะยานอยากสุขสบายขึ้นไปอีก ในปี พ.ศ. 2510 ที่ผมกำลังเรียนอยู่ในชั้นประถม 4 สงกรานต์ปีนั้นพ่อของผมก็กลับมาเยี่ยมบ้านเช่นเคย พอพ่อจะกลับ อาสมพงษ์ก็ขอตามพ่อของผมเข้ากรุงเทพฯด้วย บอกว่าจะไปหางานทำ ทั้งพ่อ ปู่และย่า ก็ไม่มีใครเห็นด้วย โดยเฉพาะย่านั้นถึงกับร้องไห้คร่ำครวญไม่ให้ไป เพราะรู้ว่ากรุงเทพฯนั้นไม่เหมาะกับคนที่ไม่สมบุกสมบัน ส่วนพ่อผมก็บอกว่างานดี ๆ ในกรุงเทพฯนั้นหายาก จะมีก็แต่เป็นกรรมกรรับจ้างใช้แรงงานหรือเป็นคนใช้เขาเท่านั้น ยิ่งมีความรู้แค่ ป.4 นี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งหางานได้ยากลำบากมาก ทั้งยังรู้นิสัยน้องชายดีด้วยว่าหนักไม่เอาเบาก็ไม่สู้ ก็ยิ่งจะทำให้อยู่ยาก จนถึงเอาตัวไม่รอด
อาสมพงษ์ใช้ลูกอ้อนลูกตื๊ออย่างไรก็ไม่รู้ เพราะในที่สุดก็ตามพ่อของผมมากรุงเทพฯจนได้ ซึ่งเรื่องราวต่อไปนี้ เป็นส่วนที่พ่อของผมได้เล่าให้ผมฟังบ้าง เล่าให้ปู่กับย่าและพี่น้องคนอื่น ๆ และคนเหล่านั้นมาเล่าต่อให้ผมฟังบ้าง รวมทั้งที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมอาสมพงษ์อยู่หลายครั้ง ในตอนที่ผมกลับมาเรียนกรุงเทพฯ จนถึงตอนที่แกกลับไป “เลียแผลใจ” ที่บ้านนอก ในอีกยี่สิบกว่าปีต่อมานั้น ซึ่งต่อไปผมจะไม่เรียกว่าอาสมพงษ์ ในฐานะที่เป็นน้องของพ่อผม แต่จะใช้คำว่าสมพงษ์เฉย ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงชีวิตของผู้ชายคนนี้ ที่ได้ผ่านเข้าไปในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในฐานะของคนที่ต้องต่อสู้กับชีวิตตามลำพัง อย่างที่เรียกว่า “ผจญกรรม” ด้วยตนเองนั้น
เปิดฉากที่บ้านเช่าโกโรโกโสในตรอกแคบ ๆ แถวตลาดพลู สมพงษ์ได้ทำงานในโรงงานทำรองเท้าเล็ก ๆ แถววงเวียนใหญ่ เขานั่งรถเมล์ออกจากห้องเช่าแต่เช้า ทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ที่โรงงานมีข้าวให้กินแค่มื้อกลางวันมื้อเดียว ส่วนมื้อเช้ากับมื้อเย็นต้องหากินเอง แต่สมพงษ์ก็กระเหม็ดกระแหม่มาก มื้อเช้าเขากินแค่น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ รวมกันราคา 1 บาท ที่ซื้อจากเจ้าประจำตรงป้ายรถเมล์ที่เขาลงไปทำงานทุกเช้านั้น ตอนเย็นก็ข้าวเหนียวก้อนหนึ่งกับปลาปิ้งจิ้มแจ่ว ที่ซื้อจากปากซอยก่อนเข้าบ้านเช่า รวมราคา 2 บาท สมพงษ์ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ ค่าใช้จ่ายอื่นก็จะมีแค่ค่ารถเมล์ไปทำงาน เที่ยวละ 50 สตางค์ ไปกลับเป็นเงิน 1 บาท ดังนั้นถ้าวันอาทิตย์สมพงษ์ไม่ไปไหน และมีค่ากับข้าวอีกวันละ 2-3 บาท ก็จะมีค่าใช้จ่ายแค่สัปดาห์ละ 20 บาท เงินเดือนที่ได้จากโรงงาน 750 บาท หักค่าเช่าบ้านเดือนละ 300 บาท รวมค่าน้ำค่าไฟอีก 40-50 บาท ก็ยังเหลือเงินเดือนละ 300 กว่าบาท แต่สมพงษ์ก็ส่งเงินกลับบ้านเดือนละไม่เกิน 100 บาท เพราะเงินที่เหลือเขาพยายามที่จะเก็บไว้กับตัวเอง โดยเอาไปซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ส่วนหนึ่ง กับอีกบางส่วนกะว่าจะเอาไว้ “สร้างอนาคต” โดยตั้งเป้าหมายว่าจะได้เจอผู้หญิงสวย ๆ รวย ๆ หรือคนดี ๆ ที่เขาจะฝากอนาคตไว้ได้ ด้วยการที่จะเอาเงินเก็บนั้นไปใช้ในการสู่ขอและแต่งงาน
ความคิดของสมพงษ์อย่างนั้นก็คงเป็นอย่างที่สำนวนไทยเรียกว่า “หมามองเครื่องบิน” แต่สมพงษ์น่าจะอยู่ไกลกว่านั้น และอาจจะต้องใช้คำว่า “ไส้เดือนไขว่คว้าดาว” นั้นมากกว่า เพราะด้วยฐานะที่ต่ำต้อย ความรู้ก็น้อย ทั้งยังยากจนขัดสน ก็เปรียบได้กับไส้เดือนที่จมอยู่ในดิน ส่วนหญิงสาว “สูงศักดิ์ ร่ำรวย และแสนดี” ก็เป็นถึงอุดมคติอันสุดเอื้อม ประดุจดวงดาวที่อยู่ไกลออกไปในจักรวาล กระนั้นสมพงษ์ก็ยังคงมีความฝันอยู่เช่นนั้นไม่เสื่อมคลาย เขาเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า เมื่อเขาเป็นคนดี และเชื่อด้วยว่าเขาทำบุญมาดี ก็ต้องได้กับคนดี ๆ แม้เขาจะมีเงินไม่มาก แต่เขาก็จะใช้ความดีนั้นเอาชนะใจผู้หญิงที่เขาใฝ่ฝันนั้นให้ได้ เขาเคยได้รู้มาเมื่อตอนที่ไปบวชว่า คนเรามีกรรมเก่าที่สร้างมาคอยเกื้อหนุน และเขาก็เชื่อว่าเขาสร้างมาด้วยดีแต่ชาติปางก่อน เพราะคนเฒ่าคนแก่หลายคนชมเขาว่า ที่เขามีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ เพราะชาติก่อนเกิดชาติเป็นเทวดา เป็นคนที่มีบุญมาก จึงได้มีผิวพรรณที่ขาวสะอาด และรูปร่างหน้าตาสะสวย เขาจึงฝันว่าด้วยรูปร่างหน้าตาของเขา และคุณงามความดีของเขา ก็จะพาเขาไปหาสิ่งดี ๆ และได้รับแต่สิ่งดี ๆ
โรงงานทำรองเท้าของเขาแม้จะเป็นโรงงานเล็ก ๆ แต่ก็ทำรองเท้าสำหรับผู้มีฐานะดี แบบที่เรียกในสมัยนี้ว่า “ไฮโซ” ทั่งรองเท้าผู้หญิงและผู้ชาย สมพงษ์จึงเรียนรู้เรื่องแฟชั่นและเสริมรสนิยมต่าง ๆ จากการที่ทำงานในโรงงานแห่งนี้อยู่ตลอดเวลา และด้วยความที่เป็นคนสมองดี เรียนรู้ได้เร็ว ทำให้เขาเป็นคนที่สะสมความรู้ต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะเรื่องของพวกดาราและชนชั้นสูง ซึ่งเถ้าแก่เจ้าของโรงงานมักจะนำมาคุยให้คนงานฟังเสมอ ๆ ถึงความภูมิใจที่มีลูกค้าดัง ๆ เหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ความรู้จาก “สุทธินี” ลูกสาวของเถ้าแก่ที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ที่ได้ให้ความสนใจสมพงษ์ โดยได้เข้ามาทักทายและพูดคุยอยู่เกือบทุกวัน ทำให้สมพงษ์คิดไปเองว่าสุทธินีคงจะมาชอบเขาเข้าแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นเป็นเพียงนิสัยชอบอวดของสุทธินี ที่พอรู้อะไรมาก็อยากเอามาพูดคุยให้คนอื่น ๆ ฟัง แต่พ่อแม่คือเถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยคงจะไม่มีเวลาฟังเท่าไหร่ สุทธินีจึงมาระบายให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะคนที่ดูเรียบร้อยและชอบรับฟังอย่างสมพงษ์ ซึ่งเป็นแค่คนขนของ คอยมาเบิกรับของที่เป็นวัตถุดิบในการทำรองเท้า ตั้งแต่แผ่นหนัง ไปจนถึงวัสดุตกแต่งต่าง ๆ ที่มีสุทธินีมาช่วยรับเอกสารเบิกจ่ายและทำบัญชีในบางเวลา
สุทธินีนี่แหละที่น่าจะเป็น “แม่พระ” ของสมพงษ์ ถ้าไม่ใช่เพราะความอวดดีของเขาที่คิดเข้าข้างตัวเองจนผิดพลาด