วันที่ 6 ก.ย.64 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขอบคุณผลการลงมติไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 264 เสียง ถือเป็นฉันทานุมัติจากสภาฯ ทุกฝ่ายควรยอมรับกติกาที่ตัวแทนของพี่น้องประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ให้พล.อ.ประยุทธ์เดินหน้าทำภารกิจต่อไป และมองไปข้างหน้าร่วมกัน โดยมุ่งขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วนคือ การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่วันนี้มีแนวโน้มที่ดี จำนวนผู้ติดเชื้อแนวโน้มลดลง จำนวนผู้หายป่วยกลับบ้านแนวโน้มสูงขึ้น ในรอบ 7 วันที่ผ่านมามีผู้หายป่วยกลับบ้านมากกว่าผู้ติดเชื้อใหม่รวม 25,872 คน เฉลี่ยวันละ 3,696 คน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีว่างานของระบบสาธารณสุขไทยเริ่มผ่อนคลายเบาขึ้นซึ่งต้องขอขอบคุณและส่งกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุกท่านที่เสียสละอุทิศเวลา ความรู้ ความสามารถในการการทำงานหนักดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นยังร่วมมือกันระดมฉีดวัคซีนจนปัจจุบันมีผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสทะลุ 10 ล้านคนแล้ว คือมี 10,074,612 คนและได้รับวัคซีนเข็มแรกทะลุ 25 ล้านคน คือมี 25,234,259 คน เฉลี่ย 7 วันที่ผ่านมาฉีดวัคซีนได้ถึงวันละ 708,347 คน
สำหรับมาตรการด้านเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่มาจากผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งจากนี้จะได้เร่งดำเนินการใน 5 กลุ่มหลัก ๆ คือ 1.เร่งตัดวงจรการแพร่ระบาด โดยในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสปสช. จะปูพรมแจกชุดตรวจโควิดแบบตรวจด้วยตนเอง หรือ ชุดตรวจ ATK 8.5 ล้านชิ้น ใน 3 กลุ่มเสี่ยง ทั้งเรื่องการตรวจเชิงรุก มีการปรับแผนจุดตรวจคัดกรองโควิด หากพบผลเป็นบวกแจกยาฟาวิพิราเวียร์ และยาฟ้าทะลายโจร หากอาการไม่ดีนำส่งโรงพยาบาลต่อไป
ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนข้อมูลวันที่ 5 กันยายน ประเทศไทยฉีดวัคซีนไปแล้ว 35 ล้านโดส ในขณะที่สิ้นเดือนนี้จะมีวัคซีนมากกว่า 15 ล้านโดส เดือนตุลาคมจะมีเพิ่มขึ้นเป็น24 ล้านโดส เดือนพฤศจิกายน 23 ล้านโดส และเดือน 23 ล้านโดส ส่วนในปี 2565 จะมีการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมอย่างน้อย 120 ล้านโดส และให้มีวัคซีนที่มีความหลากหลาย เบื้องต้นจะนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ 50 ล้านโดส และแอสตร้าเซเนก้า 50 ล้านโดส ซึ่งจะเพียงพอต่อประชาชนแน่นอน
น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า การเดินหน้าในกลุ่มที่2 คือ การเยียวยาผลกระทบจากโควิด ซึ่งในวันที่ 7 กันยายนกระทรวงแรงงานจะครม.อนุมัติกรอบวงเงินให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกคนละ 2,500 บาท เมื่อรวมกับเงินที่จ่ายงวดแรกไปเมื่อเดือนส.ค. คนละ 2,500 บาท ผู้ประกันตน มาตรา 33 จะได้เงินเยียวยารวมเป็นเงิน 5,000 บาท นอกจากนี้ยังมีมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ พร้อมกันนี้ ยังมีมาตรการลดดอกเบี้ย ขยายเวลาการชำระหนี้ แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้กยศ.ต่างๆ
กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มท่องเที่ยวเดินหน้าการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยในส่วนของโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ข้อมูลระหว่างวันที่ 1-4 กันยายน 2564 มียอดสะสมเที่ยวบินที่เดินทางเข้ามาจังหวัดภูเก็ตจำนวน 346 เที่ยวบิน มีนักท่องเที่ยวจำนวน 28,197 คน มีรายได้จากการท่องเที่ยวมีจำนวน 1,634 ล้านบาท ส่วนในการเปิดประเทศระยะที่ 2 ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ในอีก 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี (พื้นที่พัทยา บางละมุง สัตหีบ) เพชรบุรี (พื้นที่ชะอำ) ประจวบคีรีขันธ์ (พื้นที่หัวหิน) และเชียงใหม่ (พื้นที่อำเภอเมือง แม่แตง แม่ริม และดอยเต่า) ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวและทำให้เกิดเศรษฐกิจหมนเวียนในชุมชนของแต่ละพื้นที่
กลุ่มที่ 4 คือกลุ่มการลงทุน เดินหน้าการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ การลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เน้นไทยลงทุนไทย ตามโมเดลแผนพัฒนาเศรษฐิกิจแบบองค์รวม หรือ BCG พัฒนาเศรษฐกิจใน 3 มิติ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ควบคู่ไปกับการพพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม
และสุดท้ายกลุ่มที่ 5 รัฐบาลกำลังเดินหน้า ปรับปรุงโครงสร้างคมนาคมในหลายจังหวัดรองรับการพัฒนาเมืองในจังหวัดต่างๆ โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน สร้างมอเตอร์เวย์ในหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นโครงการมอเตอร์เวย์ช่วงเอกชัย –บ้านแพ้ว ระยะทาง 16.4 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 19,700ล้านบาท ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทรลเวย์ ) ช่วงรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 18 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 28,135 ล้านบาท และมอเตอร์เวย์ทางยกระดับช่วงศรีนครินทร์ –ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 18.5 กิโลเมตร วงเงิน 35,685 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับการพัฒนาเมืองในอนาคตและยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่ารัฐบาลเดินหน้าพัฒนาต่อเนื่องเพื่อพี่น้องคนไทย
ส่วนที่นายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาเตือนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าการเมืองในพรรคพลังประชารัฐง่อนแง่นรอวันแตก ให้พล.อ.ประยุทธ์รีบหาทางลงนั้น น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นายพิชัยไม่ได้ทำการบ้านหรือ อ่านข่าวมาแบบผิดๆ ถูก ๆ หรือ จึงไม่รู้ว่าสมาชิกพรรคพลังประชารัฐลงมติไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์อย่างพร้อมเพรียงครบถ้วน ไม่มีใครแตกแถว สะท้อนถึงความเป็นเอกภาพ สะท้อนความเชื่อมั่นของตัวแทนพี่น้องประชาชนทีมีต่อพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์โควิดที่เริ่มดีขึ้น และบริบทต่างๆ ต่างมาตรการแก้ไขปัญหาที่นายกฯเตรียมไว้ จึงมีแต่สัญญาณความเชื่อมั่นที่มีต่อพล.อ.ประยุทธ์เพิ่มสูงขึ้นและอยู่บริหารประเทศอีกยาว ต่างจากพรรคเพื่อไทยที่มี 6 ส.ส.แหกมติพรรคนั่นต่างหาก ที่สะท้อนว่าพรรคกำลังง่อนแง่น ส.ส.ในพรรคไม่ศรัทธาแนวทางการทำงาน จนต้องแหกมติของพรรค