หลังจากปฏิบัติแผนการอย่างเหน็ดเหนื่อยมา 90 วัน วันที่ 27 สิงหาคม เวลาท้องถิ่น สำนักงานผู้อำนวยการองค์กรข่าวกรองแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศสาระสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “คำรายงานการสอบกลับหาต้นตอไวรัสโควิด-19” โดยออกความเห็นว่า “ไวรัสโควิด-19 มีต้นตอมาจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติหรือการรั่วไหลของห้องปฏิบัติการ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง” และให้ร้ายประเทศจีนว่า “ขัดขวางการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศ”
สาระสำคัญคำรายงานที่ยาวไม่ถึง 500 ตัวหนังสือฉบับนี้ ไม่ได้ให้หลักฐานเกี่ยวกับต้นตอไวรัสโควิด-19 แต่อย่างใด คำรายงานเต็มไปด้วยคำว่า “น่าจะ” (likely) “อาจจะ” (probably) ทั้งบท ซึ่งก็คือ กระดาษเปล่าไร้ประโยชน์ตามคำพูดของแฟนเน็ตสหรัฐฯ
ทำเนียบขาวเคยประกาศคำแถลงฉบับหนึ่งก่อนเริ่มสอบกลับหาต้นตอไวรัสครั้งนี้ โดยนายโจ ไบเดิน กล่าวว่า องค์กรข่าวกรองมีความเห็นแตกต่างกันต่อต้นตอของไวรัส โดยมีความเห็นว่า เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง คือ เกิดจากธรรมชาติหรือรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ “แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน” การตรวจสอบ 90 วันผ่านไป “สมมติฐาน” ทั้งสองอย่างยังคงเป็น “สมมติฐาน”
สถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ ชี้ให้เห็น 4 ประการ ในคำแถลงที่เจาะจงต่อคำรายงาน ซึ่งเต็มไปด้วยความเท็จของฝ่ายสหรัฐฯว่า ประการแรก คำรายงานนี้นำแต่งโดยองค์กรข่าวกรองสหรัฐฯ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์และไม่มีความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด ประการที่สอง การที่ฝ่ายสหรัฐฯ กล่าวหาว่า ฝ่ายจีนไม่โปร่งใส ก็เพื่อหาข้ออ้างในการผลักดันความเป็นการเมืองและการใส่ร้ายป้ายสี ประการที่สาม การที่องค์กรข่าวกรองฝ่ายสหรัฐฯ ได้ทำคำรายงาน ก็แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายสหรัฐฯ เดินบนหนทางผิดที่บิดเบือนทางการเมืองโดยพลการและยิ่งไปยิ่งไกล ประการสุดท้าย ฝ่ายสหรัฐฯ เก็บการสอบกลับหาต้นตอจากตนเองเป็นความลับ ปิดประตูการสอบกลับสนิท
คำแถลงกล่าวว่า “คำรายงานดังกล่าวไม่ได้ให้คำตอบอันแน่ชัดที่ฝ่ายสหรัฐฯ อยากได้ ทำต่อไปอีกก็ย่อมเป็นการตักน้ำด้วยตะกร้าไม้ไผ่ เสียแรงเปล่า เพราะการสอบกลับของสหรัฐฯ เป็นการหาสิ่งที่ไม่มีมูล ซึ่งต่อต้านวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว”
“การสอบกลับหาต้นตอไวรัสนั้น ต้องการวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ข่าวกรองแต่อย่างใด การสอบหาต้นตอไวรัสโดยองค์กรข่าวกรองนั้น เป็นสิ่งที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว” นายวังเหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนตำหนิตรงๆ ว่า องค์กรข่าวกรองสหรัฐฯ มีชื่อเสียงที่ไม่ดีแต่ไหนแต่ไรแล้ว คำรายงานนี้เป็นเพียงคำรายงานให้ร้ายที่ตั้งธงก่อน รวบรวม “หลักฐาน” ทีหลังเท่านั้น ซึ่งไม่มีความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว สหรัฐฯ กลับมี “สิ่งสกปรก” มากมาย นอกจาก “ฟอร์ต ดิทริก” (Fort Detrick) และศาสตราจารย์บาร์ริก (Barrick) “นักล่าโคโรนาไวรัสอเมริกัน” (American coronavirus hunter) ที่แฟนเน็ตของจีนเรียกร้องให้ตรวจสอบแล้ว จดหมายเปิดผนึกที่นายคริสโทเฟอร์ ฟอร์ด (Christopher Ford) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยเอง ยิ่งแสดงให้เห็นว่า การตรวจสอบไวรัสโควิด-19 ที่นำโดยองค์กรข่าวกรองสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถึงวาระที่จะต้องเป็นเรื่องตลกทางการเมืองที่เต็มไปด้วยข่าวปลอมตั้งแต่แรก
นายคริสโทเฟอร์ ฟอร์ด ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่รับผิดชอบกิจการความมั่นคงระหว่างประเทศและการไม่แพร่ขยาย (อาวุธนิวเคลียร์) ระหว่างเดือนมกราคม 2561 ถึง เดือนมกราคม 2564 รับการมอบหมายจากนายไมค์ ปอมเปโอ (Mike Pompeo) ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่รับผิดชอบกิจการควบคุมอาวุธและความมั่นคงระหว่างประเทศหลังวันที่ 21 ตุลาคม 2562 จนถึงลาออกจากกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 เริ่มตั้งแต่ปี 2550 นายฟอร์ดได้ตักเตือนวงการการเมืองสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องในหนังสือประพันธ์ทางวิชาการสองเล่ม บทความอีกหลายสิบบท และ การปาฐกถาของเขาว่า ต้อง “ระแวดระวังความทะเยอทะยานทางการเมืองตามภูมิรัฐศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่คุกคามต่อสหรัฐฯ และโลกประชาธิปไตย” นายฟอร์ดได้อัพโหลดจดหมายเปิดผนึกที่ยาวกว่าหมื่นคำบนอินเตอร์เน็ตเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญที่สรุปเป็นประโยคเดียวก็คือ “ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีน”
ต้นตอของเรื่องมาจากสมมติฐานที่อื้อเฉาในสื่อมวลชนสหรัฐฯ ที่ว่า ไวรัสโควิด-19 รั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ เมื่อไม่นานก่อนหน้านั้น นายโจ ไบเดิน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งให้องค์กรข่าวกรองสหรัฐฯ ให้คำตอบที่ชัดเจนภายในระยะเวลา 90 วัน
นิตยสาร ฟอกซ์ (Fox) ซีเอ็นเอ็น (CNN) และ แวนีตี้แฟร์ (Vanity Fair) ต่างได้ตีพิมพ์บทรายงานข่าวขนาดยาวในหัวข้อเรื่องนี้ โดยฟอกซ์และแวนีตี้แฟร์ต่างกล่าวโทษตรงๆ ว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนอยู่เคียงข้างประเทศจีน และกดดันปราบปรามสิ่งที่เรียกว่า “ทฤษฎีรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ” ภายในกระทรวงการต่างประเทศ
โดยนิตยสาร แวนีตี้แฟร์ เขียนดังนี้ “ในบันทึกความความเข้าใจ (MOU) ภายในฉบับหนึ่งที่แวนีตี้แฟร์ได้มา นายโทมาส ดินาโน (Tomas Dinano) เจ้าหน้าที่รับผิดชอบสำนักควบคุมการตรวจสอบและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของยุทธภัณฑ์ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (AVC) ได้เขียนไว้ว่า ลูกน้องของนายฟอร์ดและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ใน AVC เตือนผู้บริหารชั้นนำของ AVC อย่าตรวจสอบต้นตอของโควิด-19 อีกต่อไป เพราะถ้าดำเนินการต่อ มันจะ เปิดกระป๋องหนอนกระป๋องหนึ่ง”
หลังจากถูกนิตยสาร ฟอกซ์ และ แวนีตี้แฟร์ กล่าวหาโดยระบุชื่อแล้ว นายฟอร์ดได้รับความกดดันมาก ยังได้รับอีเมล์ด่าทอจำนวนไม่น้อย เช่น หลังจากนายคาร์ลส์สัน (Carlsson) กล่าวพาดพิงถึงเขาครั้งแรกในรายการ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน มีชาวเน็ตส่งอีเมล์ไปหาเขาว่า
“Fuck you, globalist liar. Why the fuck did you suppress the lab leak theory? Lick the boots of the Chinese communists.”
(ไอ้xxx โลกาภิวัตน์ผู้หลอกหลวง ทำไมต้องกดดันทฤษฎีรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ ไปเลียบู๊ธของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปเถอะ)
นายฟอร์จึงต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ระงับข้อกล่าวหา
จดหมายได้พรรณนาขั้นตอนกระบวนการทำงานภายในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อย่างน่าสนใจมาก
ก่อนอื่น จดหมายเปิดผนึกเขียนชัดเจนว่า วัตถุประสงค์ของนายดินาโนที่มีความเห็นให้ตรวจสอบ ไม่ได้เพื่อพิสูจน์สิ่งที่เรียกว่า รั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรอก หากเพื่อพิสูจน์ว่า ไวรัสโควิด-19 เป็นอาวุธชีวภาพที่ผลิตโดยรัฐบาลจีน
จดหมายเปิดผนึกมีข้อความดังนี้ “ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง การตรวจสอบพฤติกรรมละเมิดการควบคุมยุทธภัณฑ์ที่อาจมี นายดินาโนแสดงชัดเจนว่า AVC เห็นว่า ประเด็นสำคัญของตนเองไม่ใช่ต้นตอของ SARS-CoV-2 เอง หากเป็นการกล่าวหาประเทศจีนอย่างเป็นรูปธรรมว่าละเมิด กติกาสัญญาอาวุธชีวภาพ ผ่านการผลิตไวรัสดังกล่าว พวกเขาดูเหมือนเห็นว่า COVID-19 เป็นอาวุธชีวภาพชนิดหนึ่ง การทำงานเกิดปัญหาทำให้รั่วไหล – ยิ่งกว่านั้น อาจเป็นอาวุธชีวภาพที่ปักกิ่งจงใจปล่อยไปยังทั่วโลก หลังจากปักกิ่งฉีดวัคซีนให้กับประชากรของเขาอย่างลับๆ”
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เห็นว่า ไวรัสนี้เป็นการออกแบบโดยเจาะจงต่อพันธุกรรมของอเมริกัน ซึ่งมีหลักฐานง่ายมาก ชาวผิวดำแอฟริกาติดไวรัสน้อย อเมริกันติดมาก นี่ก็คือหลักฐาน
จดหมายเปิดผนึกเขียนว่า “ในรายงานบรรยายสรุปเดือนธันวาคม ขณะที่ AVC เสนอทฤษฎีต้นตอไวรัสโควิด-19 ให้ผมเป็นครั้งแรก นายแอช (Ash) (ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนที่ได้รับการว่าจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ) เคยเสนอว่า SARS-CoV-2 อาจเป็น สารคัดเลือกทางพันธุกรรม (GSA) ที่จีนผลิตเพื่อใช้เจาะจงต่อเรา เขากล่าวว่า แอฟริกาจากซาฮาราไปทางใต้ไม่มีรายงานผู้ป่วย COVID-19 มากมาย แต่สหรัฐฯ กลับมี นี่ก็คือหลักฐาน”
ในฐานะผู้ลากมากดีของนักการต่างประเทศ นายฟอร์ดฉลาดกว่าหน่อยหนึ่ง เขาเขียนในคำตอบกลับว่า “การสอบหาต้นตอของไวรัสโควิด-19 เป็นเรื่องสำคัญมาก ผมยินดีมากที่ได้ทำให้เท้าของพวกเขา (ประเทศจีน) เหยียบบนไฟ เพราะพวกเขาปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือจนทุกวันนี้” แต่เขาก็เน้นย้ำในขณะเดียวกันว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงต้องชี้แจงข้อเท็จจริง ก่อนกล่าวหารัฐบาลจีนผลิตไวรัสดังกล่าวอย่างเปิดเผย
นายฟอร์ดระบุในจดหมายเปิดผนึกว่า “เราต้องรับประกันในสิ่งที่เรากล่าวนั้นมีความน่าเชื่อถือ และได้ผ่านการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง แล้วเราจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะหลีกเลี่ยงการทำให้ตนเองอับอายและเสียความน่าเชื่อถือในที่สาธารณะ ก็เหมือนดั่งที่ผมกล่าวย้ำว่า ถ้าข้อสรุปของคุณถูกต้อง ผมยินดีมากที่จะเข้าคิวเป็นหัวแถวคนแรกขึ้นไปตะโกนข้อสรุปเหล่านี้บนหลังคาบ้าน เพราะมันเป็นความโหดร้ายที่ร้ายแรงมาก และคุณมีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นคนถูกต้อง แต่ผมอยากจะมีความมั่นใจต่อข้อเท็จจริง...ปัญหาเหล่านี้มีความสำคัญมาก เราต้องรู้ความจริงของพวกเขาให้ได้ แต่ต้องรู้อย่างแท้จริง อย่างเข้มงวด อย่างถกเถียงกลับได้”
ความต้องการรู้ความจริงของนายฟอร์ด กลายเป็นหลักฐานของเขาที่กดดันเสียงคัดค้าน แอบติดต่อกับจีน
นายฟอร์ดเรียกร้องให้ AVC ดำเนินการพิจารณาระดับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินข้อกล่าวหาว่าจีนผลิตอาวุธชีวภาพ แต่ดูเหมือน AVC ไม่ยอมดำเนินการพิจารณาระดับผู้เชี่ยวชาญ คว่ำบาตรคำเรียกร้องให้มีการพิจารณาระดับผู้เชี่ยวชาญของนายฟอร์ด
นายฟอร์ดเขียนในจดหมายเปิดผนึกว่า “นี่...กลายเป็นเรื่องน่าอับอาย อีกทั้ง หากผมพูดอย่างนี้ได้ จะเป็นเรื่องที่น่ากังวลยิ่ง AVC ดูเหมือนยังคงหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมของผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินการกล่าวหาไวรัสโควิด-19 ของ AVC เอง ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ AVC แนะนำความเห็นของ AVC เองให้คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในทั่วทั้งองค์กร” ... “การดำเนินการประเมินระดับผู้เชี่ยวชาญต่อการสรุปต้นตอมาจากห้องปฏิบัติการตามหลักทางวิทยาศาสตร์นั้นมีความสำคัญยิ่ง เพราะว่า การสืบสวนของ AVC ดูเหมือนได้ข้ามผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงการต่างประเทศ – รวมทั้งกรมที่ผมอยู่และตัว AVC เองไปอย่างระมัดระวัง ซึ่งทุกกรมต่างมีสำนักงาน – ตลอดจนวงการข่าวกรองสหรัฐฯ ที่จะจัดการปัญหาประเภทนี้”
นายฟอร์ดวิงวอนในจดหมายเปิดผนึกว่า สหรัฐฯ ต้องหยุดการเข่นฆ่ากันเองภายใน จัดการประเทศจีนอย่างสามัคคีกัน ขณะเดียวกัน เขาเห็นว่า การอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาต้นตอของไวรัสโควิด-19 ไม่ควรโฟกัสใน “การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์” ของต้นตอจากห้องปฏิบัติการ เพราะมันไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสร์ใดๆ อยู่แล้ว แต่ควรเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ข้อสงสัยที่ไม่มีมูลต่างๆ ซึ่งหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ รวบรวมได้ต่อศูนย์วิจัยไวรัสอู่ฮั่น เช่น ข้อมูลที่ศูนย์วิจัยไวรัสอู่ฮั่นมีคนเป็นหวัดมีไข้ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2562 เขาเห็นว่า อันนี้เป็นวิธีที่ดีกว่า
เป็นวิธีที่ดีกว่าจริงๆ สิ่งที่เรียกข้อมูลข่าวสารที่คลุมเครือ “ไม่ต้องมีมูล” นั้น พิสูจน์ความจริงได้ยาก พิสูจน์ความเท็จยิ่งยาก องค์กรข่าวกรองฝ่ายตะวันตกก็ได้ใช้วิธีนี้บ่อยมากในปัญหาซินเกียง เรื่องศูนย์วิจัยไวรัสอู่ฮั่นนี้ คำว่า “ไม่ต้องมีมูล” ใช้ง่ายกว่า “พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์”
นอกจากนี้ ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ นายฟอร์ดเขียนในเอ็มโอยูว่า “อย่าไปเน้นว่าฝ่ายกองทัพของจีนได้เข้าร่วมโครงการลับของศูนย์ไวรัสอู่ฮั่น เพราะเราไม่มีหลักฐานฝ่ายกองทัพจีนเข้าร่วม แต่หลายปีมานี้กองทัพบกสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมการวิจัยไวรัสของสหรัฐฯ เองตลอด”
เรากลับมาอีกครั้ง มาดูการคัดสาระสำคัญของ “คำรายงานสอบหาต้นตอไวรัสโควิด-19” ที่ประกาศโดยองค์กรข่าวกรองสหรัฐฯ ครั้งนี้ ก่อนการดำเนินการสืบสวนในครั้งนี้ ในองค์กรข่าวกรองของสหรัฐฯ การมีแนวโน้มลำเอียงไปทาง “ทฤษฎีรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ” มีอยู่หน่วยงานเดียว การมีแนวโน้มลำเอียงไปทาง “ทฤษฎีต้นตอมาจากธรรมชาติ” มีอยู่สองหน่วยงาน ที่เหลือไม่ได้ตัดสิน
ผลการสืบสวนครั้งนี้ การมีแนวโน้มลำเอียงไปทาง “ทฤษฎีรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ” มีอยู่หน่วยงานเดียว การมีแนวโน้มลำเอียงไปทาง “ทฤษฎีต้นตอมาจากธรรมชาติ” กลายเป็นสี่หน่วยงาน
ภายในองค์กรข่าวกรองกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างเงียบๆ
นอกจากนี้ ในสาระสำคัญของคำรายงานที่เต็มไปด้วยคำว่า “ไม่แน่ใจ” นั้น องค์กรข่าวกรองสหรัฐฯ ให้ข้อสรุปที่แน่ใจหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ “ไวรัสไม่ใช่อาวุธชีวภาพ” และ “เป็นไปได้มากที่ไม่ใช่โครงการพันธุกรรม”
ถึงตรงนี้ คิดถึงคำบรรยายที่เกี่ยวข้องในจดหมายเปิดผนึกของนายฟอร์ด คุณพิจารณาอีก พิจารณาอย่างละเอียด!
คิดเชื่อมโยงไปถึงเบาะแสการสอบหาต้นตอของไวรัสโควิด-19 ซึ่งนับวันมีมากยิ่งขึ้นที่ชี้ไปยังสหรัฐฯ ก็เข้าใจ “ความทุกข์” ขององค์กรข่าวกรองสหรัฐฯ ได้แล้ว
ยังไงๆ ก่อนหน้านี้มีคน 25 ล้านคนทั่วโลกที่วิงวอนให้ตรวจสอบ ฟอร์ต ดิทริก ปัจจุบันนี้มีห้องปฏิบัติการบาร์ริกที่วิจัยโคโรนาไวรัสและการดัดแปลงพันธุกรรมอีกที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากประชาคมโลก
ต่อหน้าข้อสงสัยที่สมเหตุผลเหล่านี้ สหรัฐฯ หมายจะพยายามปกปิดความจริง หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ตอนนี้หมายจะฟอกตนเองด้วยคำรายงานสืบหาต้นตออีก
เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี ยังใส่ร้ายประเทศจีน โดยโกหกว่าการที่การสืบหาต้นตอไม่ประสบผลสำเร็จเพราะจีนไม่โปร่งใส
สหรัฐฯ น่าจะอ่านคำรายงานวิจัยร่วมสืบหาต้นตอโควิด-19 ของจีน-องค์การอนามัยโลกให้ละเอียดอย่างจริงจัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกเคยเดินทางไปอู่ฮั่นโดยเฉพาะ ได้ศึกษาและดูงานอย่างละเอียด ได้พบบุคคลที่พวกเขาอยากพบทั้งหมด ได้ตรวจสอบข้อมูลที่พวกเขาอยากจะตรวจสอบทั้งหมด ได้สร้างโหมดรูปแบบการร่วมมือสืบสวนที่มีความหมายเป็นแบบอย่าง
แต่กลับเป็นสหรัฐฯ เอง ที่ยิ่งควรเปิดเผยและโปร่งใส ประเทศที่ควรไปสืบหาต้นตอไวรัสมากที่สุดนั้น คือ สหรัฐฯ เอง