ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ชาวจุฬาฯเปรียบตัวเองว่าเป็นเหมือนต้นจามจุรีที่เติบโตไปในแต่ละรอบปีนั้น
“เมื่อต้นปีจามจุรีงามล้น...” ในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยจะเปิดเทอมในตอนต้นเดือนมิถุนายน จากนั้นก็จะมีพิธีไหว้ครูในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา แล้วต่อด้วยพิธีรับน้องใหม่ในตอนปลายเดือนมิถุนายน ในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงต้นปีการศึกษา ซึ่งก็กำลังเข้าหน้าฝนพอดี แล้วต้นจามจุรีก็มักจะบานตอนต้นหน้าฝนนี้พอดี จึงบรรยากาศที่สดชื่น “เริ่มเวลา รับชาวจุฬาฯน้องใหม่...” จนถึงเดือนกันยายนก็จะเป็นปลายเทอมของภาคการศึกษาแรก แต่เป็นกลางปีของชีวิตในมหาวิทยาลัย ทั้งฝนก็ยังตกหนักในช่วงนั้น พอดีกับที่ฝักจามจุรีแก่จัดแล้วก็ทยอยหล่นลงมา “เมื่อกลางปีต้นจามจุรีฝักหล่น ถึงเวลาหน้าฝนลำต้นก็ลื่นหนักหนา ฝักหล่นไปทั้งยางก็ไหลลงมา ถ้าเดินพลั้งพลาดท่าจะล้มทันที...” เปรียบว่าเป็นช่วงที่ต้องตั้งอกตั้งใจเรียน อย่าให้พลาดได้ จากนั้นก็จะปิดเทอมไปตลอดเดือนตุลาคม ไปเปิดเทอมภาคปลายตอนต้นเดือนพฤศจิกายน แล้วเรียนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พอต้นเดือนมีนาคมก็มีการสอบไล่ ทุกคนก็ต้องคร่ำเคร่งสอบให้ผ่าน “...ที่กินถิ่นนอน มิได้อาวรณ์นำพา มีความปรารถนาเหลือเพียงตำราเท่านั้น เพื่อนเชือนชักทิ้งจนคนรักสารพัน หวังมิให้ตกชั้นรีไทร์”
คุณจ้อยสามารถเรียนจบได้ภายใน 3 ปีครึ่ง ในภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พร้อมกับผลการเรียนในระดับ “เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง” ซึ่งในวันที่รับพระราชทานปริญญาจะได้รับพระราชทานเหรียญทองเพื่อเป็นเกียรติอีกด้วย พวกเรารุ่นนั้นจำนวนเกือบ 200 คน ก็ได้เข้าร่วมรับปริญญาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2423 ด้วยกัน มีเพียง 2 คนที่ต้อง “เรียนเพิ่ม” คือไม่ได้จบพร้อมกัน มี 1 คนที่เสียชีวิตในระหว่างการศึกษา กับอีก 1 คนที่ถูกให้ออกเพราะทำการทุจริตในตอนที่สอบไล่ชั้นปี 1 พิธีรับพระราชทานปริญญาเต็มไปด้วยความประทับใจ สมัยนั้นบัณฑิตสามารถนำญาติมาร่วมพิธีได้ มีเต็นท์กางไว้ให้ญาติ ๆ มานั่งชมพิธีผ่านการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์วงจรปิด อยู่รอบ ๆ หอประชุมใหญ่ หลายคนนำญาติมาแต่เช้าก็เดินถ่ายรูปไปทั่วทุกตึก ตั้งแต่ที่คณะที่เรียนมาจนถึงหน้าหอประชุมใหญ่ มีมุมสวย ๆ ที่นิยมกันมากก็คือหน้าตึกคณะอักษรศาสตร์ที่หลังหอประชุมใหญ่ โดยเฉพาะตรงบันไดหน้าตึกที่มีพญานาคทอดเลื้อย เมื่อยืนถ่ายภาพรวมญาติลดหลั่นกันตรงขั้นบันไดนี้ก็จะได้มุมมองสวยงามเหมาะเจาะมาก (มีประวัติเล่าว่า ตอนที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ รับพระราชทานปริญญา ที่สมเด็จพระราชบิดา ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธาน ในปี 2420 นั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสถามว่า “เขาถ่ายรูปกันที่ไหน พาเราไปที่นั่น” แล้วสมเด็จพระเทพรัตนฯ ก็ทรงนำพระองค์ท่านพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระสวางควัฒนฯ และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ มาทรงร่วมฉายภาพตรงบันไดนาคนั้นหลายภาพ อันเป็นที่มาของความ “ป๊อปปูลาร์” ณ จุดบันไดนาคดังกล่าว)
ก่อนที่พวกเราจะเข้ารับพระราชทานปริญญา ในปลายปี 2522 อันเป็นภาคการศึกษาสุดท้ายของรุ่นเรา ทางคณะรัฐศาสตร์ก็ยังมีพิธีกรรมอีกอย่างหนึ่งคือ “การปัจฉิมนิเทศ” ที่รุ่นพี่จะพารุ่นน้องไป “สั่งสอนร่ำลา” ณ ต่างจังหวัด ซึ่งในปีนั้นได้พาพวกเราไปที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ ผมจำได้แต่ว่าเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นมาก พวกเราก็สนุกสนานกันเต็มที่ แต่บรรยากาศต่างจากตอนที่ปฐมนิเทศ หรือการทัศนศึกษาในตอนเข้าเรียนปี 1 นั้นมาก เพราะคราวนั้นเต็มไปด้วยความสดชื่นร่าเริง อาจจะเป็นเพราะความเป็นน้องใหม่ เพื่อนใหม่ บรรยากาศใหม่ และสิ่งตื่นเต้นใหม่ ๆ แต่พอถึงวันที่ทุกคนจะต้องจบการศึกษาแยกย้ายจากกันไป อย่างในวันปัจฉิมนิเทศ ที่แปลว่า “การพบกันเป็นครั้งสุดท้าย” นี้ ทุกคนก็คงจะรู้อยู่ในใจแล้วว่า ที่มาในครั้งนี้ก็เพื่อมาจากกัน แม้ว่าทิวทัศน์และบรรยากาศรายรอบจะสวยงามสดชื่นเพียงใด แต่ทุกคนก็ทำใจยากในการที่จะต้องลาจากกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั้น แบบที่พวกเราบางคนที่ชอบร่ำสุราพูดออกมาอย่างสะอึกสะอื้น(หลังจากเมาได้ที่แล้ว)ว่า “เหล้าอะไรวะฝาดขมยังกะบอระเพ็ด แสบคอยังกะกลืนใบมีดโกน” แม้แต่การร้องเพลงที่เคยกระหึ่มก้องครึกครื้น ก็กลายเป็นเสียงแหบแห้ง และถ้าฟังนาน ๆ แล้วก็เหมือนเสียงคร่ำครวญมากกว่าที่จะเป็นเสียงเจื้อยแจ้วของคนที่มีความสุข
คุณจ้อยร้องเพลงสายทิพย์อย่างที่เคยร้องในตอนปฐมนิเทศ เสียงก็ยังหวานเจื้อยแจ้วดังเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคือสีหน้ายามที่เธอร้อง ช่างดูเศร้าสร้อยผิดกับบุคลิกปกติ ยิ่งเมื่อยามเธอแหงนหน้าลงมาจากท้องฟ้าเพื่อมามองพวกเรา “แสงดาวสวยพราวดูเด่น เล็งเห็นเหมือนตาของเธอ...” และเมื่อพวกเรามองไปบนท้องฟ้ามืดทึบ แม้จะมีดวงดาวมากมายระยิบระยับ แต่ก็ให้รู้สึกว่าแสงของพวกมันช่างรุบรู่หม่นมัวเสียเหลือเกิน ท่ามกลางอากาศที่วาบหนาว ยิ่งทำให้เราหม่นหมองและยากที่จะลืมเลือนบรรยากาศคืนนั้น
หลายปีต่อมา พวกเราบางคนได้มาร่วมงาน “สิงห์ดำสัมพันธ์” ซึ่งจัดกันทุกปีในวันอาทิตย์หลังงานฟุตบอลประเณี ที่มีเป็นประจำในวันเสาร์ช่วงกลางเดือนมกราคมของทุกปี ช่วงเช้าจะเป็นพิธีทำบุญเลี้ยงพระ แล้วมีพิธีมุทิตาจิตของพรจากท่านอาจารย์ บางปีก็จะมีการทำบุญให้กับผู้ล่วงลับ ทั้งอาจารย์ บุคลากร และนิสิตเก่า ตอนบ่ายมีแข่งขันกีฬาเบา ๆ ต่อเนื่องถึงตอนเย็นที่เป็นงานสังสรรค์เฮฮา รวมถึงการประกาศและมอบรางวัลเกียรติยศแก่ศิษย์เก่าดีเด่น ซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่ชื่นมื่น ให้รำลึกถึงความหลังครั้งเก่า บางคนจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีก็จะนำมาพูดคุยอย่างออกรส บางคนก็ได้แต่รับฟัง คอยยิ้มและหัวเราะในตอนที่สนุก บางคนก็เอ็นจอยกับอาหารและการแสดงบนเวที รวมทั้งก็มีบางคนที่ดูสีหน้าเศร้า ๆ ไม่เข้ากับบรรยากาศที่ร่าเริงนั้นเลย
ปีนั้นคุณจ้อยมาร่วมงานด้วย รุ่นของเรามากันไม่มากนัก สัก 20 กว่าคน เพื่อน ๆ รุมล้อมและพูดคุยกับคุณจ้อย ที่เราทราบว่าตอนนี้ได้ออกไปเป็นเลขานุการโทอยู่ในสถานทูตหนึ่งแถวทวีปยุโรป หลังจากจบปริญญาตรีที่คณะเราแล้ว คุณจ้อยก็สอบเข้ากระทรวงการต่างประเทศ ด้วยความสามารถและนามสกุลของคุณจ้อยจึงไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นก็สอบชิงทุนของกระทรวงไปศึกษาต่อในสถาบันระดับท็อปไฟว์ด้านการทูตในมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกาได้ และได้แต่งงานกับเพื่อนที่เป็นข้าราชการกระทรวงเดียวกันที่นั่น กลับมาก็มีความก้าวหน้าในราชการเป็นลำดับ คุณจ้อยยังเป็นคนร่าเริงและน่ารักแบบที่เรียกว่า “คิกขุ อาโนเนะ” นั้นอยู่เสมอ แต่ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยก็คือ “ความรู้รอบตัว” ที่เป็นพิเศษของเธอ
อีกหลายปีต่อมา คุณจ้อยก็ได้เป็นเอกอัครราชทูตหญิงประจำประเทศย่านละตินอเมริกา เธอกลับมาเยี่ยมเมืองไทยและมาร่วมงานสิงห์ดำสัมพันธ์อีกครั้ง เธอยังคงร่าเริงและคุยเก่งเหมือนเดิม ตอนหนึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า ในประเทศที่เธอไปประจำอยู่มีขนมเหมือนขนมไทยมากมาย จำพวก ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และสังขยา ซึ่งเธอเชื่อว่าน่าจะได้มาจากเมืองไทยครั้งที่โปรตุเกสเข้ามารับราชการที่กรุงศรีอยุธยา แล้วพอไปยึดครองประเทศแถบอเมริกาใต้ได้ ก็นำขนมเหล่านั้นไปด้วย
เพื่อนบางคนถึงกับหัวเราะแล้วพูดว่า “โถ แม่เบลล่า ราณี บุพเพสันนิวาส”