ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงาน ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนบริษัท รอยัล เจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท รอยัล พาราไดซ์ จำกัด, บริษัท รอยัลไทยเฮิร์บ จำกัด, บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟ เซ็นเตอร์ จำกัด และบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด จำนวน 3 คน นำโดยนายโอฬาร รุ่งโรจน์รัศมี เดินทางมายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีที่ถูกเจ้าพนักงานบุก ค้น ยึด และกล่าวหาบริษัททั้งห้าเป็นบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญ ผ่านนายยศพงษ์ งามรัตนไพบูลย์ นิติกรประจำ ศูนย์บริการประชาชน ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 24 และวันที่ 30 ส.ค. ได้มีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้าตรวจค้นบริษัททั้ง 5 โดยกล่าวหาว่าเป็นบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นบริษัทนอมินีกับจีน เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้า ให้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่มากับกรุ๊ปทัวร์เท่านั้น และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาติอื่น เข้าไปภายในร้านเพื่อซื้อสินค้าได้ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่า และในวันที่ 9 ก.ย. 59 ตำรวจท่องเที่ยวกับ เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , ตำรวจรถไฟ ยังได้นำกำลังเข้าตรวจค้น อีกครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนี้ ได้ทำการยึดรถบัสนำเที่ยว ของบริษัทโอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด พร้อมทั้งอายัดบัญชีเงินสด กว่า 90 บัญชีไปอีกด้วย นอกจากนี้หนังสือยังระบุว่า 1. ครอบครัวเป็นคนไทย 2. การประกอบธุรกิจได้เปิดร้านค้าขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งแรกเป็นสินค้าที่ระลึกเมื่อปี 2525 ที่ตลาดน้ำวัดไทรชื่อว่า “ร้านเรือนไทย” ต่อมาเมื่อกิจการเจริญรุ่งหรือยังกินขยับขยายมาเปิดร้านที่ข้างโรงภาพยนตร์โอเอเมื่อปีพ.ศ. 2127 ชื่อ “ร้านโอเอเครื่องหนัง” และต่อมาได้ย้ายมาอยู่แถววังสวนจิตรลดาชื่อ “ร้านบางกอกแฮนดิคราฟท์เซ็นเตอร์” จากนั้นปิดและไปเปิดร้านนี้ที่ถนนศรีชื่อ “ร้านบริษัทเจน คอลเลคชั่น จำกัด” ต่อมาเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดและไม่สะดวกแก่การจัดรถบัสจึงได้ย้ายไปอยู่ที่ย่านลาดกระบังเมื่อปีพ.ศ. 2550 3.ไม่ได้ประกอบธุรกิจทัวร์ศูนย์ เหรียญ เพราะว่าไม่ได้มีบริษัททัวร์และทำทัวร์แต่อย่างใด แต่ข้าพเจ้าทำธุรกิจร้านค้าจำหน่ายสินค้าประเภท กระเป๋าหนัง ยาสมุนไพร หมอน ที่นอนยางพารา ขนมของฝาก ของที่ระลึกและประกอบธุรกิจให้กับบริการรถขนส่งไม่ประจำทาง สำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวทุกชาติ นอกจากนี้ รถบัสไม่ได้รับเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น และไม่ได้จำกัดเที่ยวซื้อสินค้าจากร้านค้าของบริษัทเท่านั้น ทั้งนี้รายได้ยังตกแก่คนไทยทั้งประเทศ ทั้งนี้ได้มีการกล่าวหาว่าบริษัททั้งห้าเป็นนอมินีและทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ตกอยู่ในมือของคนไทยและประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ขอเรียนนายกรัฐมนตรีดังนี้คือ จิวเวอรี่ บริษัทได้สั่งซื้อเครื่องประดับจากโรงงานส่งออกซึ่งเป็นของ สมาคมอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ส่วนหมอนยางพารานั้นบริษัทไม่ได้เป็นผู้ผลิตเองเช่นกันแต่รับซื้อสินค้ามาจากโรงงานของไทย ในหลายโครงการบริษัทซึ่งมีรายได้จากการขายน้ำยางเพื่อนำมาแปรรูป และอื่นๆซึ่งได้รับการยอมรับจากประเทศเยอรมันไม่มีคุณภาพและใช้ยางพาราจริง สำหรับ เครื่องหนังนั้น ทางบริษัทไม่ได้เป็นผู้ผลิตเองเช่นกัน แต่รับซื้อสินค้ามาจากโรงงานของไทย ส่วนขนมนั้น อาทิ ผลิตภัณฑ์จากทุเรียนทั้งหมดล้วนซื้อมาจากสวนทุเรียนของคนไทยนับหลาย 100 สวน ปีหนึ่งๆทางบริษัทสามารถช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนทุเรียนได้อย่างน้อย 3,000,000 กิโลกรัมต่อปี สำหรับยาสมุนไพรนั้น ผลิตโดยโรงงานยาเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงประเทศไทย และซื้อจากชุมชนหลายแห่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ส่งเสริมให้แก่ชาวบ้านผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในชุมชนต่างๆของประเทศ นอกจากนี้ในเรื่องของภาษี บริษัททั้งห้าได้ปฏิบัติหน้าที่คนขายตามกฎหมายในการเสียภาษี “บริษัททั้งห้าให้การยืนยันต่อนายกรัฐมนตรีว่า มีผู้ก่อตั้งและถือหุ้นเป็นคนไทย 100% ทุกคนเกิดและโตที่ประเทศไทยซึ่งนายกสามารถยกสามารถตรวจสอบสถานะของแต่ละบุคคลได้ ประกอบธุรกิจด้วยสัมมาชีวะก่อสร้างสร้างตัวจากกิจร้านค้า ที่ตลาดน้ำวัดไทรกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้การถูกตั้งข้อหาจากเจ้าหน้าที่รัฐวันที่ 14 ส.ค.และ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา อีกทั้งยังอายัดทรัพย์ของข้าพเจ้า ครอบครัวและบริษัทในเครือในวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่การเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและไม่เป็นธรรมกับบริษัททั้งห้าเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเชื่อถือในความเป็นธรรมของท่าน และมีความเชื่อมั่นว่าท่านจะให้ความเป็นธรรมกับบริษัททั้งห้าตามกฎหมาย โดยไม่หวั่นไหวตามกระแส ที่ดูเหมือนว่าจะมีการวางแผนกันเป็นอย่างดี ทำให้บริษัททั้งห้ายินดีจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมหากนายกฯมีข้อสงสัย”