24 ส.ค.64 “ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น.แถลงความคืบหน้าสรุปภาพรวมเหตุการ์ณ์ของม็อบทะลแก๊ส ที่แยกดินแดง เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมาพบว่า ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง “ผู้ชุมนุม” ขว้างปาอาวุธ ทั้ง ปิงปอง พลุ เพลิง ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ทุบทำลายทรัพย์สินในที่ สาธารณะ สถานที่ราชการ และจุดเพลิงเผาบริเวณต่างๆ บริเวณกรมดุริยางค์ทหารบก และใต้ทางด่วนดินแดง นอกจากนี้ ยังแถลงด้วยว่า จากการดำเนินคดีของกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่เดือนก.ค. จนถึงปัจจุบันรวม 111 คดี มีผู้ต้องหาที่เข้าข่ายความผิด 591 คน สามารถจับกุมได้แล้ว 284 คน มีการออกหมายเรียกผู้ที่เข้าข่ายความผิดทั้งสิ้น 127 หมาย แบ่งเป็นแกนนำ 16 หมาย และแนวร่วม 111 หมาย นอกจากนี้ได้มีการออกหมายเรียกผู้ปกครองของผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชน เบื้องต้นกว่า 20 คนเพื่อดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ส่งเสริม หรือปล่อยปละละเลยให้เด็กออกมาก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ภาพรวมการดำเนินคดีตามกฎหมาย ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เรียกว่าแถลงกันวันต่อวัน ตลอดห้วงระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ที่มีการชุมนุมเคลื่อนไหวของม็อบราษฎร ที่พากันจัดกิจกรรมทางการเมือง “วันต่อวัน” กำลังสะท้อนให้เห็นว่า แม้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน ในการควบคุมและสลายการชุมนุมในพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะยุติลงในแต่ละวัน นั่นคือการใช้ “กฎหมาย” ที่มีอยู่เข้าดำเนินคดีตามหลังทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ความผิดจากการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน , พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อฯ รวมถึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 , 216 อีกด้วย ขณะที่ “ผู้ปกครอง” เองก็ยังถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ฐานส่งเสริม หรือปล่อยปละละเลยให้เด็กออกมาก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ยังไม่นับรวมความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในรายที่มีพฤติการณ์ชัดเจนว่าเข้าข่ายดูหมิ่น สถาบัน ก็ไม่พ้นการถูกแจ้งข้อหาในมาตรา 112 การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามกลุ่มราษฎร ภายใต้ชื่อกิจกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หากแต่จุดหมายยังยืนระยะอยู่ที่การขับไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหลักใหญ่ จะพบว่าในช่วงตลอดเดือนส.ค.นั้นไม่เพียงแต่จะมี “แนวร่วม” อย่าง “แกนนำม็อบรุ่นพี่” อย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เพิ่งประกาศเป็นโต้โผจัดการชุมนุม คาร์ปาร์ก (Car Park) จบลงไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และมีกำหนดนัดหมายรอบใหม่คือวันที่ 29 ส.ค.นี้ โดดเข้ามาผสมโรง “เกาะขบวน” ไปกับ ม็อบเยาวชน แต่ถึงกระนั้นกลับพบว่า ในท่ามกลางการนัดหมายชุมนุมของกลุ่มหลักคือม็อบราษฎร และได้มวลนคนเสื้อแดงเข้ามาร่วมด้วย ได้กลายเป็นการ “เปิดพื้นที่” ให้มีบรรดา “ฮาร์ดคอร์” เด็กแว๊น อาชีวะ หลายกลุ่ม ตลอดจน “มือที่สาม” แฝงเข้ามาสร้างความรุนแรง มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่คฝ.จนทำให้ผู้คนในสังคมพากันวิตกว่าจะเกิด “จราจลกลางเมือง” หรือไม่ ยิ่งเมื่อได้เห็นภาพการเผาทำลายป้อมตำรวจตามจุดต่างๆ การจุดพลุเพลิง การทำลายสถานที่ราชการจนทรัพย์สินเสียหาย หลายวันอย่างต่อเนื่อง ยิ่งสร้างความขัดแย้ง ความไม่พอใจขึ้นในสังคมขึ้นมาโดยปริยาย อย่างไรก็ดี ใช่ว่าการเกิดภาพเหตุการณ์ความรุนแรงการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่คฝ. กับผู้ชุมนุมที่บริเวณใกล้กับแฟลตดินแดง จะส่งผลกระทบต่อฝ่ายผู้ชุมนุมเพียงฝ่ายเดียวว่ามีประชาชนได้รับความเดือดร้อน รำคาญ เพราะในเวลาเดียวกันยังพบว่า มีประชาชนที่อ้างว่าพักอาศัยอยู่ในแฟลตดินแดงเองก็ได้รับความเดือดร้อน จากแก๊สน้ำตา และกระสุนยางที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคฝ.ใช้ควบคุมม็อบเช่นกัน จนถึงขั้นติดป้ายผ้าแสดงความไม่พอใจ จากนั้นตามมาด้วยการส่งตัวแทนไปยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกฯถึงทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมาโดยขอให้สั่งการตำรวจคฝ.ปรับยุทธวิธีในการปฏิบัติงาน แม้งานนี้จะมีรายงานข่าวว่าเบื้องหลังของการออกมาเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มนี้จะมี “อดีตผู้สมัคร” ของพรรคการเมืองบางพรรค ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล เข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม แต่ในแง่ของกระแสสังคมแล้ว ต้องยอมรับว่า “มีผล” ต่อการทำงาน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่น้อย จนนำไปสู่การปรับยุทธวิธีรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยการนำตู้คอนเทนเนอร์ออก ย้ายแนวสกัดผู้ชุมนุมห่างออกไปจากแฟลตดินแดง เพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่าง “ตำรวจ” กับ “ประชาชน” ลดช่องโหว่ ที่ฝ่ายการเมือง จะนำไปใช้ขยายผล ทั้งนี้การชุมนุมของม็อบสารพัดกลุ่มที่บัดนี้เหลือเพียงข้อเรียกร้องข้อเดียว คือการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ก็อาจจะต้อง “ปรับแผน” ด้วยเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้กลายเป็น “พื้นที่ปะทะ” มีผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนได้รับบาดเจ็บ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะยิ่งทำให้ม็อบเองตกเป็นฝ่าย “เสียเปรียบ” มากขึ้นทุกขณะ เมื่อมีการใช้ความรุนแรง จนทำให้บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงกลายเป็นสมรภูมิในทุกๆเย็น โอกาสที่เจ้าหน้าที่คฝ.จะเข้าควบคุมและสลายการชุมนุม ตามมาด้วยการบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย ! ขณะเดียวกัน ยังจะกลายเป็นการ “ทำลายแนวร่วม” ไปโดยปริยาย เพราะอย่าลืมว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมเองมีไม่น้อยที่มาชุมนุมด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง ย่อมไม่ต้องการเข้ามาอยู่ในสมรภูมิ เพราะหากเกิดความสูญเสียโอกาสที่จะมี “นักการเมือง” หรือ “คนที่อยู่เบื้องหลัง” เข้ามารับผิดชอบ ดูจะเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า สถานการณ์ของฝ่ายผู้ชุมนุมเวลานี้ อาจไม่ได้อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า “เป็นต่อ” เสียแล้ว เมื่อพบว่า ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะปรับแผน ลดการเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุมที่เคยปะทะกันทุกเย็นที่สามเหลี่ยมดินแดงลง เพื่อเลี่ยงขัดแย้งกับประชาชนแล้ว แต่ลำดับต่อมา คือการ “ไล่ล่า” และติดตามเพื่อสาวไปถึง “ต้นตอ” ของ “บุคคล” และ “กลุ่มคน” ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับม็อบโดยเฉพาะ “สายฮาร์ดคอร์” ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้วย “เงินทุน” ที่นำมาใช้การจัดซื้อพลุ หรือวัตถุประดิษฐ์อาวุธ จนสามารถติดตามจับกุมมาได้อย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า วันนี้นอกจากฝ่ายความมั่นคงจะพยายามลดระดับการเผชิญหน้ากับ “ผู้ชุมนุม” ด้วยการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีแล้ว ยังเดินหน้า “เช็คบิล” ต้นทาง “ท่อน้ำเลี้ยง” ดังนั้นจากเดิมที่เคยประเมินสถานการณ์กันเอาไว้ว่า หากม็อบยิ่งชุมนุมยืดเยื้อ ยิ่งจะสั่นคลอน “รัฐบาล” และตัวพล.อ.ประยุทธ์ นั้นอาจจะต้องประเมินสถานการณ์กันใหม่ หรือไม่ ?