ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ความรู้กับความน่ารักมักไปกันได้ดี ถ้ามีพรีเซนเตอร์ที่มีพร้อมทั้งสองอย่าง
มีประเพณีอีกอย่างหนึ่งของชาวรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็คือการปฐมนิเทศ ที่ต้องไปทำที่ต่างจังหวัด คล้าย ๆ การไปทัศนศึกษา แต่จะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง เพื่อให้รุ่นพี่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับรุ่นน้อง สำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น(และสนุกสนาน)ในรั้ว “สิงห์ดำ” ซึ่งพวกเราน้องใหม่ในปี 2519 นั้นก็จำพวกข้อแนะนำต่าง ๆ นั้นไม่ได้เลย จำได้แต่ความสนุกสนานในบรรยากาศที่เย็นชุ่มฉ่ำ เนื่องจากฝนตกทุกวันและมีกิจกรรมที่สนุกสนานไม่หยุดหย่อน เป็นความประทับในช่วงสำคัญของชีวิตที่ไม่รู้ลืม
ปีนั้นเราไปปฐมนิเทศที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ เป็นเดือนที่สองของการเป็นน้องใหม่ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากผ่านประเพณีการรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยและของคณะสัก 2 สัปดาห์ บรรยากาศแห่งความสนุกสนานจึงยังคุกรุ่นอยู่มาก ทุกคนมาขึ้นรถกันตั้งแต่เช้าก่อน 7 โมง คุณจ้อยลงรถมาด้วยชุดหมีสีฟ้าสดใส ทำให้เพื่อน ๆ ทักทายกันเกรียวกราว แต่ที่ทำให้ทุกคนอมยิ้มก็คือ กระเป๋าเดินทางใบเขื่องที่คนขับรถลากมาขึ้นรถบัส ทำให้บางคนแซวว่านี่คุณจ้อยจะไปเที่ยวซาฟารีหรือ เพราะการเดินทางเที่ยวนี้ไปแค่ 2 คืน ทุกคนมีแค่กระเป๋าสะพายคนละใบ หรืออย่างดีก็กระเป๋าลากใบเล็ก ๆ หรือบางคนก็หิ้วถุงผ้าแค่ใบเดียว ที่น่าจะใส่เสื้อผ้าได้เกิน 2 ชุด กับของใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย พอขึ้นรถก็มีการแนะนำตัวและการเล่นเกมไปตลอดทาง ส่วนพวกที่อยู่ท้ายรถก็ร้องเพลงไม่หยุด คุณจ้อยนั่งอยู่ตรงกลางก็นั่งปรบมือไปและเล่นเกมไป มีช่วงหนึ่งรุ่นพี่ให้คุณจ้อยออกมาแสดงเป็น “ไกด์ทัวร์” บรรยายนำเที่ยว คุณจ้อยก็แสดงได้เป็นอย่างดี พอดีช่วงนั้นรถกำลังจะผ่านพระปฐมเจดีย์ที่นครปฐม คุณจ้อยก็เล่าเรื่องตำนานพระปฐมเจดีย์ได้อย่างตื่นเต้นเร้าใจ ด้วยการบรรยายฉากรบระหว่างพระยากงกับพระยาพาน ที่เป็นพ่อลูกกันนั้นได้อย่างดุเดือด เหมือนกับว่าคุณจ้อยได้พาพวกเราเข้าไปในฉากชนช้างนั้นด้วย พร้อมทั้งได้เล่าประวัติของเมืองนครปฐมยุคใหม่ ตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาสร้างพระราชวังสนามจันทร์ ที่จบลงด้วยฉากความเศร้าในการสูญเสีย “ย่าเหล” สุนัขทรงเลี้ยงที่ทรงโปรดมากที่สุด ทำเอาพวกเราซึมไปทั้งรถ
คุณจ้อยยังเป็น “ไมโครโฟนลิซึ่ม” ไปอีกพักใหญ่ บรรยายถึงอาชีพเกษตรกรรมของชาวไร่ที่ผ่านไปตามทาง มีช่วงหนึ่งผ่านบริเวณที่มีการปลูกอ้อย แต่แล้วก็ทำเอาพวกเราได้เฮ เพราะคุณจ้อยบอกว่าคนไทยภาคกลางนี้ปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก แต่ทำไมต้นข้าวแถวนี้(ตอนนั้นน่าจะเป็นถนนช่วงที่ผ่านตำบลท่ามะกาหรือท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีการปลูกอ้อยกันมาก)จึงต้นสูงใหญ่มาก ๆ น่าจะเป็นข้าวพันธุ์พิเศษที่คุณจ้อยไม่เคยเห็นในสารานุกรม รุ่นพี่คนหนึ่งจึงบอกว่านี่เป็นต้นอ้อยจ้า คุณจ้อยก็พูดขอบคุณอย่างเขินอาย แล้วก็เล่าเรื่องอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลทราย ที่มีบราซิลผลิตมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก จากนั้นก็ส่งใหม่ต่อให้คนอื่น ก่อนที่จะกลับมานั่งแล้วตบมือประกอบจังหวะให้กับพวกที่กำลังร้องเพลงอยู่ที่หลังรถนั้นต่อไป พอผ่านตัวเมืองกาญจนบุรีออกไปทางสะพานข้ามแม่น้ำแคว มีช่วงหนึ่งมีทุ่งนาที่ต้นข้าวกำลังโผล่พ้นน้ำหลังจากที่ฝนตกหนักมาหลายวัน ทำให้ดูเหมือนหญ้าขึ้นหร็อมแหร็ม ก็มีคนถามคุณจ้อยว่ารู้ไหมว่านั่นต้นอะไร คุณจ้อยก็ตอบโดยซื่อว่าต้นหญ้ากำลังน้ำท่วมกระมัง เพื่อนก็หัวเราะและบอกว่า นี่แหละต้นข้าวล่ะเธอ คุณจ้อยก็เถียงว่า ต้นข้าวก็ต้องมีรวงเหลือง ๆ สิ “ฉันดูมาจากหนังสือนะ และก็น่าจะมีควายอยู่ในทุ่งนานั้นด้วย” ทำให้ทุกคนรู้ว่าคุณจ้อยนี้มีความรู้มากเพราะอ่านจากหนังสือนั่นเอง
ที่น้ำตกเอราวัณ พวกเราได้เข้าพักในบ้านพักของอุทยาน หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วก็มีกิจกรรม “วอล์คแรลลี่” คือจะมีการจัดแบ่งกลุ่มรุ่นน้องออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 15 คน พวกเราที่ไปปฐมนิเทศในครั้งนั้นมีประมาณ 150 คน จึงแบ่งได้ 10 กลุ่ม แล้วให้แต่ละกลุ่มเดินไปตามฐานหรือจุดที่กำหนดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ โดยจะมีรุ่นพี่อยู่จุดละ 3-4 คน คอยแนะนำในการทำกิจกรรม เท่าที่จำได้ก็เช่น ความสามัคคี ก็ให้ทำกิจกรรมชักเย่อ หรือความมีน้ำใจ ก็ให้โยนห่วงยางไปคล้องตัวเพื่อนในน้ำ เป็นต้น ซึ่งก็ใช้เวลาจนถึงเย็น จำได้ว่าบ่ายวันนั้นทั่วทั้งอุทยานมีแต่เสียงอื้ออึงของพวกเราที่มาทำกิจกรรมปฐมนิเทศ ซึ่งก็คงทำให้บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายตกใจไปทั้งป่านั้นเหมือนกัน ซึ่งก็ต่อเนื่องกันไปถึงเวลากลางคืน เพราะพวกเราก็ไม่ลดราในการแสดงความสนุกสนาน จนไม่ได้คำนึงถึงวิถีปฏิบัติที่เหมาะสมเหมาะควร ที่จะต้องรักษาความสงบในสภาวะแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติอันเงียบสงบนั้น ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้คงถูกถล่มทั้งจากผู้คนที่รู้เรื่องและจากการประจานไปในโซเชียลมีเดียทั้งหลายนั้น
วันรุ่งขึ้น รุ่นพี่พาพวกเราไปปลูกป่าและเดินป่า และก็คงจะรู้ว่าเมื่อคืนพวกเราได้ส่งเสียงโหวกเหวกมากมายเพียงใด จึงขอให้พวกเราอยู่ในความสงบ ตอนบ่ายก็พาพวกเราไปเยี่ยมชมหมู่บ้าน พูดคุยกับชาวบ้าน แล้วกลับมาสังสรรค์กันในตอนเย็นอีกคืนหนึ่ง แต่ในคืนนี้ดูจะเป็นไปด้วยบรรยากาศที่เรียบร้อย ไม่อึกทึกครึกโครมเหมือนคืนแรก เช้าวันต่อมาพวกเราก็ออกเดินทางแต่เช้า ไปเที่ยวชมปราสาทเมืองสิงห์ที่เป็นปราสาทขอมมีอายุกว่าพันปี แล้วมาที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว พักทานกลางวันที่นี่ ก่อนที่จะออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยเมื่อผ่านวัดพระแท่นดงรัง ก็พากันไปสักการะพระแท่นพุทธไสยาสน์ที่เชื่อกันว่าเป็นพระแท่นที่พระพุทธเจ้าทรงประทับสู่ปรินิพพานแล้วจำลองมาไว้ที่นั้น
พวกเราใช้ชีวิตการเป็นน้องใหม่อย่างสนุกสนาน คุณจ้อยแม้จะไม่ได้สวยงามจนถึงขั้นที่เรียกกันว่า “ดาวคณะ” แต่ก็มีความน่ารักจนเป็นที่เลื่องลือ ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ก็ได้เข้าร่วมขบวนล้อเลียนการเมือง แต่ที่เป็นพิเศษก็คือโฆษกในสนามได้ประกาศชื่อของคุณจ้อยพร้อมกับแนะนำสรรพคุณในความน่ารักดังกึกก้องไปทั้งสนามศุภชลาศัย ทำให้คุณจ้อยเป็นที่รู้จักไปในหมู่ชาวธรรมศาสตร์อีกด้วย และคนที่เทียวไล้เทียวขื่อมาเยี่ยมเยียนที่คณะรัฐศาสตร์หลังจากที่ฟุตบอลประเพณีนั้นจบไปแล้วแทบจะทุกวันก็คือหนุ่มนิติศาสตร์จากรั้วเหลืองแดง ที่สร้างความหมั่นไส้ให้กับพวกเราหนุ่มรัฐศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นเขม่นและเกือบจะมีเรื่องชกต่อยกัน ดีที่มีรุ่นพี่มาห้ามปราม และต่อจากนั้นหนุ่มเหลืองแดงก็หายหน้าไป แต่ก็มาแทนที่ด้วยหนุ่มสิงห์ดำมากหน้าหลายตา ที่เริ่มต้นเข้ามาทำทีเป็นองครักษ์แบบ “มดแดงเฝ้ามะม่วง” แต่ต่อมาก็กลายเป็น “สุนัขมองยานอวกาศ” คือมารุมล้อมคุณจ้อยด้วยความหมายปองที่จะได้รับความเห็นใจ สุดท้ายรุ่นพี่ก็ต้องเข้ามาปกป้องเสียเอง และต่อมารุ่นพี่คนนั้นก็ได้ดูแลคุณจ้อยไปจนตลอดชีวิต
เขาว่ารักแท้แพ้ลูกตื๊อฉันใด รักในรั้วมหาวิทยาลัยก็แพ้ความอดทนฉันนั้น