วันที่ 23 ส.ค.64 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ทำไมปิยบุตรสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์มากกว่าเป็นสาธารณรัฐ? คำถาม : ในสังคมไทยตอนนี้มีคนส่วนหนึ่งมีความฝันอยากให้ประเทศไทยเป็นแบบสาธารณรัฐแล้ว แต่ อ.ปิยบุตรยืนยันว่าประเทศไทยควรยังต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ต่อไป แต่จะต้องมีการปฏิรูป เหตุใดประเทศไทยจึงยังไม่ควรเป็นสาธารณรัฐ และเมื่อไหร่จะถึงจุดที่จะบอกได้ว่าเราควรจะเป็นสาธารณรัฐแล้ว? ตอบ : สำหรับคำถามนี้มีคำตอบอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรก เรื่องของระบบกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนระบอบการปกครองและรูปของรัฐ ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงในระบบ ก็จะติดข้อจำกัดในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เอาเข้าจริงๆแล้ว พวกที่ทำได้ ก็คือ ทหาร เมื่อไรที่กองทัพก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ล้มระบบกฎหมาย ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ พวกเขาก็ล้มสถาบันกษัตริย์ได้ ดังที่ปรากฏในหลายประเทศ เพียงแต่ว่าคณะรัฐประหารในประเทศไทย ไม่ทำกัน แต่กลับพึ่งพระบารมีของกษัตริย์ ยืนยันให้มีสถาบันกษัตริย์ต่อ ในต่างประเทศ เช่น สเปนและลิคเตนสไตน์ กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่า สามารถจัดการออกเสียงประชามติเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นสาธารณรัฐได้ แต่การทำประชามติเรื่องนี้ จะยาก กระบวนการซับซ้อน และต้องได้คะแนนเสียงมากจริงๆ ประเด็นที่สอง หากเราไปให้พ้นจากระบบกฎหมายที่เป็นอยู่ มาพิจารณาเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองและความคิดจิตใจของประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลง นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ส่วนตัวผม ยังยืนยันว่าประเทศไทยยังต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ผมมีเหตุผล 2 ข้อ ข้อที่หนึ่ง คือ เราไม่รู้ว่าการรณรงค์เรียกร้องให้เป็นสาธารณรัฐ แล้วสุดท้ายจะกลายเป็นสาธารณรัฐแบบใด จะเป็นสาธารณรัฐที่อยู่ดีๆ มีคนคนหนึ่งที่เป็นนักปลุกระดม (demagogue) พูดแล้วคนเชื่อไปหมด จนกลายเป็นสาธารณรัฐที่เป็นเผด็จการอีกแบบหนึ่ง หรือจะกลายเป็นอยู่ดี ๆ มีทหารฉวยโอกาสยึดอำนาจแล้วอยู่ยาวเป็นเผด็จการทหารก็ได้ คือเราไม่รู้ เพราะเราไม่เคยได้ออกจินตภาพเรื่องพวกนี้เลยว่าถ้าจะเป็นสาธารณรัฐ จะเป็นสาธารณรัฐแบบไหน ข้อที่สอง ผมคิดว่าการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นทางออกที่ทำให้เกิดความขัดแย้งและเสียเลือดเนื้อน้อยกว่าการเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐโดยทันที สมมุติว่าวันหนึ่งเรายืนยันว่าจะต้องเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐในทันที ผ่านการปฏิวัติประชาชน ลุกฮือขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่เอาแน่นอน ต้องขนกองกำลังเข้าปราบปราม และก็จะเกิดความขัดแย้งขนาดหนัก ถึงขั้นที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจบด้วยอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะชนะ ไม่รู้ว่าจะมีการบาดเจ็บล้มตายอะไรกันขนาดไหน ดังนั้นในสถานการณ์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมคิดว่าทางออกที่จะเป็นระบอบการปกครองที่ทุกฝ่ายสามารถอยู่ด้วยกันได้ ทั้งฝ่ายรอยัลลิสต์ ฝ่ายที่อยากเป็นสาธารณรัฐ หรือแม้แต่ฝ่ายที่อยากเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็คือ Constitutional Monarchy ทั้งหมดนี้ผมประเมินจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พิจารณาทั้งในตัวระบบกฎหมายที่เป็นอยู่และพิจารณาถึงสภาพการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ จึงเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีสถาบันกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญจึงเป็นคำตอบ แน่นอนว่าพอผมพูดแบบนี้คนที่เขาไปไกลกว่าก็จะบอกว่า ผมไปสุดได้แค่นี้เองหรือ ก็สุดแท้แต่ ไม่เป็นไร ตรงกันข้าม ฝ่ายอนุรักษนิยมแบบกษัตริย์นิยมล้นเกิน ก็จะบอกว่าการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เท่ากับล้มเจ้า แต่จริงๆแล้ว นี่คือการออกแบบระบอบการปกครองที่อยู่ร่วมกันได้ โดยที่คนในชาติ ณ เวลานี้ ไม่ต้องทะเลาะกันมาก นั่นก็คือ Constitutional Monarchy แต่ในท้ายที่สุด ประเทศไทยจะออกไปทางไหน ผมไม่ได้เป็นคนบอก ผมไม่มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชแต่เพียงคนเดียวที่บอกว่าประเทศไทยต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต้องอาศัยหลายๆ อย่างผสมผสานกัน ทุกคนมีความคิดความเชื่อของตนเอง ผมก็กำลังรณรงค์ในความคิดความเชื่อของผม ณ เวลานี้ ผมเชื่อว่า Constitutional Monarchy จะตอบโจทย์มากกว่าการไปสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงหรือไปเป็นสาธารณรัฐเลย ในที่สุดแล้วผมไม่ได้เป็นคนชี้ชะตา แต่คนที่ชี้ชะตาทั้งหมดก็คือทุกคน การเมืองจะเดินไปถึงขนาดไหน จะเดินไปถึงขนาดที่ว่าการปฏิรูปไม่เกิดสักที เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่ยอมขยับเลย ตัวสถาบันกษัตริย์และองคาพยพทั้งหลายก็ไม่ยอมปฏิรูปเลย จนคนเขามองว่าอย่างนี้ก็ไม่ต้องปฏิรูปแล้วหรือไม่ คนที่จะชี้ชะตาได้ว่าประเทศไทยจะเป็น Constitutional Monarchy หรือจะกลายเป็นสาธารณรัฐ คือ สถาบันกษัตริย์และองคาพยพรอบทั้งหมดที่จะเป็นตัวชี้สำคัญ วิธีการที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เป็นสาธารณรัฐ มีทางเดียวคือต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์"