บทความ: พระมหากรุณาธิคุณเหลือล้นคณานับ ภูเขา น้ำ ป่า อุดม เอื้อคนทำกิน มีชีวิตสมบูรณ์ พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ณ บ้านถ้ำติ้ว อ.ส่องดาว จ.สกลนคร “พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า” พระราชดำรัสสะท้อนถึงพระราชหฤทัยที่มุ่งมั่นที่จะทรงแก้ไขปัญหาของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความสมดุล ที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่สรรพชีวิตจากการที่ทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะป่าไม้ในพื้นที่สูงซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารถูกทำลายจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือจากการทำไร่เลื่อนลอยเนื่องจากมีราษฎรอยู่อาศัยกระจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยในพื้นที่ป่าดอยสูงและหาเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่เลื่อนลอย ฐานะยากจน ทำให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐเข้าถึงได้ไม่ทั่วถึง จึงเป็นที่มาของการพัฒนาตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับตั้งแต่ยอดดอยจนถึงสู่ท้องทะเล หลายโครงการเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการฟาร์มตัวอย่าง โครงการหมู่บ้านยามชายแดน โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ โครงการป่าสักนวมินทร์ โครงการสวนป่านามาภิไธย และโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าทุ่งทะเลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้น ซึ่งผลสัมฤทธิ์ของโครงการจากการประสานงานร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน โดยมีคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงาน ส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากเดิม เช่น โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านปางขอน ต.ห้วยชมพู อ.เมือง จ.เชียงราย เดิมชาวบ้านที่นี่มีรายได้เพียง 50,000 บาท ต่อครัวเรือน ต่อปี ปัจจุบันมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 280,000 บาท ต่อครัวเรือน ต่อปี จากการนำความรู้การทำเกษตรที่ถูกหลักวิชาการที่ได้จากการทำงานในโครงการไปปรับใช้ในพื้นที่ของตน อีกทั้งยังมีการส่งเสริมและสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่โครงการฯ ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น การปลูกกาแฟอาราบิก้าใต้ร่มไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมเป็นที่ต้องการของตลาด ตลอดจนการปลูกพืชเมืองหนาว เช่น อะโวคาโด แมคคาเดเมียนัท และการแปรรูปผลผลิตต่างๆ ในพื้นที่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การทำสบู่อะโวคาโด ขนมปังฟักทอง คุกกี้แมคคาเดเมีย การผลิตน้ำผึ้ง และชาจากดอกกาแฟ เป็นต้น นอกจากนี้ยังปลูกฝังจิตสำนึกให้ชาวบ้านได้เห็นประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้ และร่วมกันอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้ให้คงความสมบูรณ์เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหล่อเลี้ยงชีพทั้งที่อาศัยอยู่บนที่สูงและที่ราบ ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นายธีรศักดิ์ วุยยะอากุ ราษฎรในโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านปางขอน ต.ห้วยชมพู อ.เมือง จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ในอดีตราษฎรในพื้นที่จะถางป่าทำไร่เลื่อนลอยปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวไร่ ข้าวโพด ผลไม้ และฝิ่น หลังจากมารวมกันอยู่ในที่เดียวกันก็มีโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริเกิดขึ้น มีการทดลองปลูกไม้ผลเพื่อหาพืชที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมก็พบว่ากาแฟอาบาริก้าดีที่สุดเพราะสามารถปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ได้ ไม่ต้องตัดโค่น ชาวบ้านให้ความสนใจจึงเลิกทำไร่เลื่อนลอย แล้วหันมาปลูกกาแฟ และทางโครงการฯ ได้รับชาวบ้านเข้ามาทำงานให้มีรายได้ทุกเดือน ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ถึงการเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่โดยไม่ต้องใช้สารเคมี เช่นการปลูกผักเพื่อบริโภคในครัวเรือน สอนให้ปลูกไม้ให้ผลยืนต้นที่มีอายุเก็บเกี่ยวหลายปี เช่น อะโวคาโด ท้อ แมคคาเดเมีย และการปลูกกาแฟใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ พร้อมสอนให้ต่อยอดแปรรูปกาแฟเป็นกาแฟคั่วทำให้ขายผลผลิตได้ราคามากขึ้น จากเดิมที่มีแต่กาแฟเชอรี่ และกะลา ปัจจุบันมีผลผลิตที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาด สามารถจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนกาแฟอาข่าปางขอนขึ้นได้ มีสมาชิก 26 ครอบครัวพื้นที่ปลูกกว่า 250 ไร่ ได้ผลผลิตเมล็ดกาแฟกะลา 200 - 500 ตันต่อปี และมีบริษัทสานพลังวิสาหกิจชุมชน ในเครืออเมซอนรับซื้อทั้งหมด ทำให้ผลผลิตของชาวบ้านไม่มีปัญหาเรื่องตลาด และทุกครอบครัวมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งรายวัน รายเดือน และรายปี “ทุกวันนี้กินดีอยู่ดีมีความสุข เหมือนพระองค์ท่านมาชุบชีวิตจากที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ วันนี้ไม่อายใครเพราะเป็นคนไทยที่ช่วยอนุรักษ์แผ่นดินไว้ให้ลูกหลานให้ป่ามีต้นไม้ มีน้ำ และเป็นที่ทำกิน ทำให้พื้นที่ข้างล่างมีความสมบูรณ์ขึ้นมาด้วย ก็รู้สึกดีใจที่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินนี้ ก็ขอสัญญาว่าทุกคนในพื้นที่จะอนุรักษ์ป่าไม้ให้มีความสมบูรณ์เช่นนี้และดียิ่งๆ ขึ้นต่อไป” นายธีรศักดิ์ วุยยะอากุ กล่าว ทางด้าน นายพงษ์ศักดิ์ ด้วงโยธา ผู้อำนวยการสำนักสนองงานพระราชดำริ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่ร่วมสองพระราชดำริกับสำนักงาน กปร. เปิดเผยว่า โครงการฯ ที่กรมฯ รับผิดชอบมีจำนวน 72 โครงการทั่วประเทศ เป็นด้านอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง 18 แห่ง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ 5 แห่ง โครงการฟาร์มตัวอย่าง 3 แห่ง โครงการหมู่บ้านยามชายแดน 5 แห่ง โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ 2 แห่ง โครงการป่าสักนวมินทร์ และโครงการสวนป่านามาภิไธย “กรมฯ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ในการสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานของทั้งสองพระองค์ในการให้คนอยู่ร่วมกับป่าอย่างเกื้อกูล ด้วยการต่อยอดงานในโครงการให้คงอยู่และพัฒนามีความคืบหน้าเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรในพื้นที่อย่างต่อเนื่องต่อไป พร้อมสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เยาวชน ตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยในปี 2564 ได้จัดทำโครงการครูป่าไม้ในโรงเรียนตชด. และโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ป่าอนุรักษ์จำนวน 50 แห่ง และในปี 2565 เพิ่มเป็น 100 แห่ง โดยสำนักงาน กปร. สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และแนวทางในการดำเนินงานเพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนของพระพันปีหลวงให้แก่เยาวชนในวัยเรียน จักได้รับรู้และเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าสืบไป” นายพงษ์ศักดิ์ ด้วงโยธา กล่าว ด้วยพระบารมี และพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงคุณอันประเสริฐที่ทรงตรากตรำ บำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อผสานงานพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร ในขณะเดียวกันก็ฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ราษฎรและประเทศชาติ นับเป็นความโชคดีของคนไทยที่ได้เกิดมาภายใต้ร่มพระบารมีที่ทรงมีพระเมตตาเปี่ยมด้วยความห่วงใยราษฎรของพระองค์โดยแท้