ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ความน่ารักที่สดใสต้องเป็นไปโดยธรรมชาติ มิใช่เสแสร้งให้ดูน่ารัก
ชีวิตการเป็นนิสิตเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากของทุกคน อาจจะเป็นด้วยได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากสภาพ “ลูกในอ้อมกอด” ออกมาสู่สังคมเสรี แม้ว่าในตอนที่เรียนชั้นมัธยมปลายอาจจะเริ่ม ๆ รู้สึกปลอดโปร่งจาก “ทางบ้าน” บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะใช้สิทธิเสรีได้อย่างอิสระเหมือนที่ได้มาอยู่ในมหาวิทยาลัย ที่อาจจะเป็นด้วยแต่ละคนเกิดความกล้าที่จะแสดงเสรีภาพเหล่านั้นมากขึ้น ร่วมกับการที่มีเพื่อน ๆ คอยยุยงส่งเสริม พร้อมกับวัยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ใกล้จะบรรลุนิติภาวะ จึงมีความรู้สึกว่าโลกนี้เป็นของเรา บางคนมองว่าต้องใช้ชีวิตในช่วงนี้ให้เต็มที่ เพราะเมื่อจบออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ก็จะต้องออกไปฝ่าฟันต่อสู้กับชีวิตในการทำงานเลี้ยงชีพของแต่ละคน ที่ยังไม่ทราบว่าจะมีอนาคตเป็นอย่างไรนั้นต่อไป
แต่สำหรับคุณจ้อยคงไม่ได้คิดเป็นกังวลอย่างนั้น เพราะดูเหมือนว่าชีวิตของคุณจ้อยจะถูกปูทาง “โรยด้วยกลีบกุหลาบ” มาโดยตลอด มีเพื่อนที่สนิทสนมกับคุณจ้อยมาเล่าให้เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ฟังว่า คุณจ้อยนั้นมีพี่น้อง 4 คน คุณจ้อยเป็นคนสุดท้อง และเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว คุณจ้อยถูกประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่แบเบาะ ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนชั้นดีของสังคมระดับสูงมาโดยตลอด โชคดีที่คุณจ้อยเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน และเชื่อฟังคนที่เลี้ยงดู จึงเป็นที่รักของคุณพ่อและคุณแม่กับคนอื่น ๆ ทุกคนในคนในครอบครัว ยิ่งคุณจ้อยสอบเอนทรานซ์เข้ามาเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้ได้ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก และก็ดูเหมือนว่าคุณจ้อยไม่ได้ทำให้ทุกคนผิดหวัง เพราะเมื่อได้เข้ามาเรียนที่คณะรัฐศาสตร์นั้นแล้ว ก็ทำตัวให้เป็นที่น่ารักของเพื่อน ๆ ทุกคน แม้แต่คนที่ไม่ได้ใกล้ชิดก็ยังอยากมาทำความรู้จัก รวมทั้งที่อยากมีชีวิตที่ “เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ” อย่างคุณจ้อยนั้นด้วย
กระนั้นคุณจ้อยก็ไม่ได้ “วางท่า” หรือทำตัวโดดเด่นเป็นที่น่าหมั่นไส้ หรืออย่างที่เรียกในสมัยนี้ว่า “เรื่องเยอะ” แต่กลับทำตัวเข้าได้กับทุก ๆ คนอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ๆ ที่มาสังคมชั้นสูงด้วยกัน หรือเพื่อน ๆ ที่มาจากต่างจังหวัดและมีฐานะยากจน สำหรับเพื่อนในกลุ่มไฮโซก็จะมองคุณจ้อยว่าเป็น “นางฟ้า” หรือคนพิเศษท่ามกลางหมู่คนที่มีชีวิตหรูหราด้วยกัน แต่ในกลุ่มเพื่อนที่ต่ำต้อย คุณจ้อยก็คือ “นางเอก” หรือคนที่ดีต่อพวกเขา ที่ไม่เคยดูหมิ่นเหยียดหยามหรือ “ด้อยค่า” ใคร ทั้งยังคอยส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่ได้ทำให้เพื่อน ๆ คนนั้น ๆ รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ หรือต่ำต้อยกว่าแต่ประการใด
คุณจ้อยร่วมรับประทานอาหารในโรงอาหารกับเพื่อน ๆ เป็นปกติ ทุกวันคุณจ้อยจะมาแต่เช้า แล้วสั่งข้าวในโรงอาหารรับประทาน ที่ชอบมากคือโจ๊กใส่หมูสับกับขิงสด บางวันก็เป็นข้าวผัดหมูใส่คะน้ากับมะเขือเทศเยอะๆ แล้วตามด้วยนมเย็นทานกับปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวาน เวลาจะสั่งอาหารแต่ละอย่างก็จะถามคนขายด้วยเสียงคะ ๆ ขา ๆ เหมือนว่าอยากได้ความรู้และเรียนรู้ในเรื่องราวของของกินแต่ละอย่าง แล้วก็ซื้อทุกอย่างหลังจากที่ได้คุยได้ถามแล้ว จนแม่ค้าต้องถามว่าซื้อไปทำไมเยอะแยะ คุณจ้อยก็ตอบว่าซื้อไปฝากเพื่อน ๆ แต่ความจริงแล้วมีคนไปสืบทราบมาว่า บางส่วนก็แบ่งให้เพื่อนทานด้วย แต่อีกส่วนหนึ่งก็จะเก็บไปทานที่บ้าน เห็นว่าของกินที่โรงอาหารอร่อยกว่าที่บ้านเป็นอย่างมาก รวมทั้งหลาย ๆ ก็ไม่เคยได้รับประทานที่บ้าน ที่คุณจ้อยบอกว่า “ไม่ทราบว่ามีของกินที่อร่อยสุด ๆ แบบนี้อยู่นอกบ้านด้วยหรือ” ทั้งนี้คุณจ้อยยังเป็นที่จดจำในหมู่แม่ค้าทุกคน ทุกคนเรียกคุณจ้อยว่า “คุณหนูจ้อย” ทั้งที่คุณจ้อยอยากให้เรียกว่าจ้อยเฉย ๆ มากกว่า แต่ทุกคนก็ยังเรียกว่าคุณหนูจ้อยอยู่อย่างนั้น ด้วยความรักความเอ็นดูที่ไม่เคยได้เห็นนิสิตที่เป็นอย่างนี้มาก่อน
การเป็นน้องใหม่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในยุคนั้น น้องใหม่ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างให้แก่คณะ ทั้งกิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมกีฬา และกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ แต่ละคนต้องเลือกเข้าชมรมต่าง ๆ ที่จะโดนบังคับว่าต้องเป็นสมาชิกทุกคนโดยอัตโนมัติก็คือชมรมเชียร์ เพื่อร่วมกันเชียร์กีฬาให้กับคณะ เว้นแต่ว่าจะเป็นนักกีฬาโดยเข้าชมรมกีฬาแต่ละประเภทนั้นเสียเลย ซึ่งคุณจ้อยก็เลือกเข้าชมรมกรีฑากับชมรมฟันดาบ โดยคุณจ้อยเขียนประสบการณ์ในสมัครชมรมกรีฑาว่า เคยวิ่งผลัดวิ่งเปี้ยวมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล และวิ่งเล่นกับ “เจ้าพองพอง” สุนัขพันธุ์พูดเดิ้ลในบ้าน ส่วนใบสมัครชมรมฟันดาบก็บอกว่าเคยรำกระบี่กระบองที่ใช้หวายเป็นกระบี่ในโรงเรียนประถม และก็ชอบท่ารำที่สวยงามอ่อนช้อย ปรากฏว่าชมรมกรีฑาได้ให้คุณจ้อยไปลองเล่นอยู่หลายอย่าง แต่ที่คุณจ้อยเก่งที่สุดก็คือเขย่งก้าวกระโดด จึงได้เป็นตัวแทนคณะไปแข่งกีฬาน้องใหม่ แล้วก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังเพราะสามารถชิงเหรียญมาคล้องคอคอได้ แม้จะเป็นเพียงเหรียญทองแดง แต่คุณจ้อยก็ดีใจมาก ๆ รวมถึงที่ทุกคนแสดงความปลาบปลื้มด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าเด็กสาวที่น่ารักเรียบร้อยแบบนี้จะสามารถแข่งขันในกีฬาที่สมบุกสมบัน ต้องคลุกดินคลุกทรายแบบการเขย่งก้าวกระโดดนี้ จนคว้าเอาเหรียญมาคล้องคอได้ ส่วนการฟันดาบที่คุณจ้อยคาดหวังว่าจะได้รำกระบี่หวายนั้น ก็เป็นอันผิดความคาดหวัง เพราะเป็นดาบฝรั่งที่ต้องแต่งชุดหุ้มตัวสีขาวใส่หน้ากากอะลูมิเนียม ใช้ดาบฝรั่งเข้าฟันและทิ่มแทงคู่ต่อสู้ แต่คุณจ้อยก็ไม่ท้อถอย ร่วมฝึกซ้อมเป็นเป้าให้เพื่อน ๆ ซ้อมฟันซ้อมแทงอยู่จนจบการแข่งขัน ซึ่งผมก็ได้มาสนิทสนมกับคุณจ้อยทีชมรมฟันดาบนี้ ในฐานะที่ผมได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรมฟันดาบด้วยอีกคนหนึ่ง จึงได้สัมผัสความน่ารักต่าง ๆ ของคุณจ้อยว่า ช่างเป็นความน่ารักที่เป็นธรรมชาติและออกมาจากความเป็นตัวตนของคุณจ้อยนั้นอย่างแท้จริง
เพื่อนหลายคนที่มาจากสังคมระดับล่าง เมื่อมาเห็นคุณจ้อยก็ทำให้เกิดความหวังว่าคงจะได้มีชีวิตที่สุขสบายแบบนั้นในสักวัน