ปักกิ่ง (9 ส.ค.) 3 คลังความคิด (Think Tanks) อันประกอบด้วย สถาบันการเงินฉงหยางของมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีน (RDCY) สถาบันไทเหอ (Taihe Institute) และสถาบันอินเทลลิเซีย (Intellisia Institute) ร่วมกันแถลงรายงานผลการศึกษาและวิจัยในหัวข้อ “สหรัฐฯเป็นอันดับหนึ่งอย่างนั้นหรือ?! ความจริงเกี่ยวกับการต่อสู้กับโควิด-19 ของสหรัฐฯ” (America Ranked First ?! The Truth about America's fight against COVID-19) ซึ่งรายงานผลการศึกษาและวิจัยร่วมของคลังความคิด (Think Tanks) นี้ ถือเป็นรายงานฉบับแรกของโลกที่ได้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการต่อสู้กับโควิด-19 ของสหรัฐฯ และเป็นรายงานผลการศึกษาและวิจัยครั้งแรกที่มีความถูกต้องและครบถ้วนโดย 3 คลังความคิดที่มีชื่อเสียง
รายงานฉบับนี้เป็นการวิจัยที่รัดกุม ใช้ข้อมูลจริง และเป็นกลางที่ได้กล่าวถึงปัญหา 5 ด้าน คือ“ต่อสู้เพื่อพวกพ้อง หาใช่เพื่อชีวิตไม่” “ขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์และสามัญสำนึก” “ความล้มเหลวของระบบการจัดการส่งผลให้โควิด-19 ควบคุมได้ยาก” “การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคมมากยิ่งขึ้น” และ “จงใจทำลายการต่อสู้กับโควิด-19 ของทั่วโลก” รวมเนื้อหาทั้งหมดกว่า 20 ส่วน เพื่อใช้หักล้างการจัดอันดับอันน่าขันโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ( Bloomberg News) ให้สหรัฐฯเป็น “อันดับหนึ่งของโลก” ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
รายงานยังชี้ว่ายังคงมีสื่อบางสำนักของสหรัฐฯจัดอันดับให้สหรัฐฯเป็น “อันดับหนึ่งของโลก” ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้เผชิญกับความจริงอันยากที่จะหักล้างปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้วก็ตาม ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการขัดต่อหลักจริยธรรมพื้นฐานของมนุษย์ และยังไม่เป็นการช่วยให้ผู้คนในรุ่นต่อไปสามารถมองประวัติศาสตร์โลกในปัจจุบันนี้ด้วยความเป็นจริงและเป็นกลางได้เลย
รายงานฉบับนี้ได้ใช้ตรรกะที่รัดกุมและเบาะแสของเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นพร้อมระบุว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของสหรัฐฯในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ช่วงการแพร่ระบาดฯที่เพิ่มสูงขึ้นของการระบาดฯระลอกที่ 4 การแข่งขันระหว่างรัฐได้นำพาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ไปสู่การเมืองมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ชีวิตของประชาชนของสหรัฐที่ไม่ควรสูญเสียกลับต้องสูญเสียเพราะเหตุนี้ และยังระบุว่าภายใต้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19และภัยจากฝีมือมนุษย์ส่งผลให้สหรัฐฯยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้จนถึงขณะนี้ ทำให้ประชาชนของสหรัฐฯเสียชีวิตด้วยโควิด-19 มากกว่า 6 แสนราย
รายงานเผยว่าการที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ดำเนินมาตรการและนโยบายที่มีความขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์และสามัญสำนึกในหลาย ๆ ด้าน เช่น นโยบายและป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดฯ และการสืบสวนหาต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้กลายเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำสหรัฐฯเป็นประเทศที่ล้มเหลวในการต่อสู้กับโควิด-19
รายงานยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเกิดการแพร่ระบาดของสิ่งที่เรียกว่า “โรคทางเดินหายใจ” หรือ “โรคปอดขาว” (white lung disease) ซึ่งเป็นโรคที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2019 ในสหรัฐฯว่าจริง ๆ แล้วโรคดังกล่าวนี้คือโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19หรือไม่? ห้องทดลองฟอร์ด เดทริก (Fort Detrick) รวมถึงห้องทดลองทางชีววิทยาอื่น ๆ ภายในประเทศสหรัฐฯกำลังดำเนินการศึกษาและวิจัยประเภทใดอยู่กันแน่? การศึกษาและวิจัยนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโควิด-19หรือไม่? มีมาตรการความปลอดภัยอย่างไร? มีความเกี่ยวข้องกับต้นตอของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในทั่วโลกหรือไม่? ข้อสงสัยเหล่านี้เป็นข้อสงสัยต่อต้นตอของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ที่สมควรได้รับคำตอบและการอธิบายจากทางสหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯได้ปิดบังมาโดยตลอด
รายงานชี้ว่าภายใต้ระบอบสหพันธรัฐของสหรัฐฯที่มีการผลักความรับผิดชอบกันไปมาและฉุดรั้งกันไว้ส่งผลให้การต่อสู้กับโควิด-19เป็นไปอย่างไม่เป็นรูปธรรมและอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้ธนาคารกลางของสหรัฐฯได้ใช้มาตรการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม “เกินกว่าปกติ” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในประเทศ เพียง 1 ปีครึ่ง สหรัฐพิมพ์ธนบัตรไปแล้วมากกว่าครึ่งของจำนวนการออกเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐตลอด 200 กว่าปีที่ผ่านมา การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ทำให้ประเทศอื่น ๆ ได้รับความเดือดร้อน ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ได้ความผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19เป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มขึ้น ทั้งเป็นการนำมาซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองและความวุ่นวายในภูมิภาคอีกด้วย
รายงานยังระบุอีกว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19ได้เพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคมมากยิ่งขึ้น ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสโควิด-19ได้เพิ่มอัตราการกลั่นแกล้งและความเกลียดชังต่อชาวเอเชียในสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น เพียงแค่ระยะเวลา 1 เดือนของเดือนมีนาคม 2021 มีคดีที่เกี่ยวการเหยียดชาวเอเชียเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 1 เท่า ความวุ่นวายทางสังคมนี้ถูกเรียกว่าเป็น “โรคที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน”ของสหรัฐฯ และโควิด-19 ได้กลายเป็นสิ่งที่เพิ่มความเกลียดชังชาวเอเชียในสหรัฐฯมากยิ่ง
รายงานระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯกำลังจงใจทำลายการต่อสู้กับโควิด-19 ของทั่วโลก ซึ่งในฐานะที่สหรัฐฯเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับต้น ๆ ของโลก กลับปล่อยปละละเลยให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ของประเทศอื่น ๆ เลวร้ายลงอย่างรุนแรง ทั้งนี้นายไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯยังได้สั่งการให้หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือ CIA ดำเนินการสืบสวนและรายงานผลเกี่ยวกับต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายใน 90 วัน และขณะเดียวกันนั้น เจ้าหน้าระดับสูงของสหรัฐฯหลายคนต่างทยอยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศอย่างไม่มีเหตุผล และสำหรับข้อสงสัยเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในช่วงระยะแรกในสหรัฐฯนั้น แม้สหรัฐฯถูกจับตามองจากประชาคมโลกในประเด็นนี้ แต่สหรัฐฯกลับเงียบเฉย ทั้งนี้จำนวนการส่งออกวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของสหรัฐฯมีน้อยกว่า 1 % ของจำนวนการผลิต และนอกจากสหรัฐจะปฏิเสธความร่วมมือด้านวัคซีนป้องกันโควิด-19 ระหว่างประเทศ ยังทำให้ระบบการต่อสู้กับโควิด-19ระหว่างประเทศได้รับความวุ่นวายจากพฤติกรรมการออกจากกลุ่มไปแล้ว และเข้ากลุ่มใหม่อีกครั้ง หากเปรียบเทียบกับเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว เชื้อไวรัสที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือการแพร่ขยายของ “ลัทธิก่อการร้ายทางการสืบหาต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19” นี้อย่างต่อเนื่องภายใต้การนำของสหรัฐฯ
รายงานฉบับนี้ได้ยึดหลักความเป็นกลางในการสรุปผลการศึกษาและวิจัย ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า สหรัฐฯเป็นประเทศที่ล้มเหลวในการต่อสู้กับโควิด-19 อันดับ 1 ของโลก มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นประเทศแรกของโลก ประเทศขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางการเมืองและการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นอันดับ 1 ของโลก ผลิตธนบัตรมากเกินกว่าปกติประเทศแรกของโลก เกิดความวุ่นวายในสังคมช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากเป็นอันดับ 1 ของโลก เป็นประเทศที่มีข้อมูลข่าวสารปลอมมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้นำของลัทธิก่อการร้ายทางการสืบหาต้นตอของเชื้อไวรัสโควิด-19
สุดท้ายนี้ยังคงเน้นย้ำว่า ความจริงอาจมาช้า แต่ก็ไม่ได้หายไปไหน ประชาชนของประเทศจีนและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างเรียกร้องหาความจริงในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้