ตลอดห้วงสัปดาห์นี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศการเมืองในบ้านเราเข้าขั้นระอุแทบทะลุจุดเดือด ทั้งที่ประเทศอยู่ในระหว่างเผชิญหน้ากับ “วิกฤติโควิด-19” ที่โถมเข้าใส่ ส่งผลกระทบต่อทุกคน ทุกฝ่าย แต่ปรากฏว่าจู่ๆ “พายุการเมือง” ผสมโรงเข้ากระหน่ำ ทำเอารัฐบาลนั่งไม่ติด ! การเปิดเกมบุกช่วงชิงสถานการณ์ ในจังหวะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังอ่อนล้า ด้วยการ “ตีขนาบ” ในทุกๆด้าน คือภาพความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สะท้อนออกมาได้แจ่มชัด เมื่อแนวรบด้าน “พรรคฝ่ายค้าน” จับมือกันบุกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 10 ส.ค.64 ที่ผ่านมา เพื่อยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนและดำเนินคดีกับพล.อ.ประยุทธ์ สืบเนื่องจากกรณีการออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 ละเมิดเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน โดยในกรณีดังกล่าวฝ่ายค้านชี้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ กระทำการขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังเข้าข่ายกระทำความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นอกจากนี้ การกระทำของพล.อ.ประยุทธ์ ยังเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเป้าหมายของฝ่ายค้านยังต้องการให้เรื่องไปถึงศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหากศาลประทับรับฟ้อง ฝ่ายค้านคาดหวังว่า จะมีผลทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เมื่อแนวรบที่ใช้อำนาจขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งผ่าน ป.ป.ช.และหวังว่าจะให้ยกระดับไปถึงศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เริ่มนับหนึ่ง แต่แล้วพล.อ.ประยุทธ์ ออกคำสั่งในวันเดียวกันให้ยกเลิกข้อกำหนดกรณีที่ถูกโจมตีว่า “ปิดปากสื่อ” ในคำสั่งฉบับที่ 29 เท่ากับว่าข้อกำหนดดังกล่าวยังไม่ถูกบังคับใช้ รัฐบาลก็ยอมถอย ขณะที่ “เกมซักฟอก” รัฐบาลยังไม่ทันเริ่ม แค่โหมโรงว่าในวันที่ 16 ส.ค.นี้พรรคฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พุ่งเป้าไปที่พล.อ.ประยุทธ์ และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ส่วนรัฐมนตรีที่ยังเหลือ ยังไม่เคาะว่าจะได้ข้อสรุปว่ามีใครบ้าง เท่ากับว่า บัดนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านเปิดเกมบุกพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเครื่องมือทางกฎหมายไปพร้อมๆกับการใช้เวทีสภาฯ เพื่อซักฟอกรัฐบาล กะว่าจะ “ทิ้งทวน” ให้พล.อ.ประยุทธ์ และครม.บอบช้ำมากที่สุด ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้าย ก่อนปิดสมัยประชุมสภา ฯ อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่า “ปฏิบัติการถล่มรัฐบาล” ของ “พรรคฝ่ายค้าน” กลับต้องเจอกับ “เงื่อนไข” ที่ไม่อาจมองข้าม เพราะอย่าลืมว่า หากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไปมีขึ้นเมื่อยามที่ รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ สามารถ “ตั้งหลัก” ได้ทันการณ์ เมื่อสารพัดปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจนมะรุมมะตุ้ม ทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่3 ในไทย ทวีความรุนแรง ยอดผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต พุ่งขึ้นเกิดเป็นสถิตินิวไฮ สามารถคลี่คลาย เมื่อการระดมฉีดวัคซีนเกิดขึ้นได้ในวงกว้าง จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้มากพอ รวมทั้งการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขเริ่ม ตึงตัวลดลง ผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที โดยก่อนหน้านี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้เคยออกมาให้ความเชื่อมั่นแล้วว่า อีกไม่นานสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น โดยล่าสุดมีข้อมูลบ่งชี้ว่า ตัวเลข “คนหายป่วย” เริ่มใกล้เคียงหรือมากกว่าตัวเลข “ผู้ติดเชื้อ” แล้ว ขณะเดียวกันวัคซีนเริ่มเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการได้รับบริจาคจากประเทศต่างๆ และจากที่ทยอยจัดซื้อ และเมื่อรัฐบาลตั้งตัว ตั้งหลักได้ทันก่อนถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ ย่อมจะกลายเป็น “ปัจจัย” ที่ทำให้ “พรรคฝ่ายค้าน” ทำงานได้ยากขึ้น เพราะนั่นหมายความว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านคาดหวัง จะ “ขยี้” พล.อ.ประยุทธ์ และคณะให้แหลกคาสภาฯ ก็คงเป็นแค่ “ละครฉากใหญ่” แต่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร มากพอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งตามมา ! เมื่อเกมในระบอบที่เต็มไปด้วยขั้นตอนและมากพิธีการ อีกทั้งยัง “เป็นไปได้ยาก” ที่ฝั่งตรงข้ามจะใช้ “โค่น” พล.อ.ประยุทธ์ ลงกลางสภาฯ แล้ว ยังเหลืออีกหนึ่ง “สนามรบ” ที่น่าจะ “ยังผล” ให้เกิดขึ้นได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาให้ยืดเยื้อ มิหนำซ้ำยังจะยิ่งเป็นการจุดพลุ เรียกทั้งความสนใจและสร้างความเปลี่ยนแปลงชนิดฉับพลันทันด่วนได้อย่างเห็นน้ำเห็นเนื้อ ด้วยซ้ำ ! หนึ่งในความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังกลับมาทวงบัลลังก์ “ผู้นำ” ที่หวังจะครองใจผู้คน ที่ไม่อาจมองข้าม นั่นคือการออกมาโลดแล่นบนสังเวียนการต่อสู้อีกครั้งของคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี แน่นอนในวัย 76 ปีของทักษิณ วันนี้แม้จะมากด้วยตัวเลขที่บอกว่าเจ้าตัวผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วทุกรูปแบบ แต่นั่นย่อมไม่ได้หมายความว่า ทักษิณ วันนี้จะยอม “ปล่อยวาง” ละวางในสิ่งที่เขาเองคาดหวังและรอคอยมาตลอดชีวิต หลังรัฐบาลของตัวเอง และรัฐบาลนอมินีทุกยุค ทุกสมัยถูกยึดอำนาจ ทำรัฐประหารมาโดยต่อเนื่อง ความฝัน ความหวังที่จะได้ “กลับเมืองไทย” สำหรับคนชื่อทักษิณ ย่อมไม่ใช่เพียงแค่กลับมาแล้ว “เป็นอะไรก็ได้” ตามที่เขาเองบอกกับแฟนคลับผ่าน คลับเฮ้าส์ หากแต่ยังต้องไม่ลืมว่า หากทักษิณ กลับมาโดยที่ไม่มี “อำนาจ” อยู่ในมือแล้ว จะยังมีประโยชน์อันใด ? หากจับสัญญาณที่ทักษิณ ส่งผ่านมายังการสนทนาหลายครั้งหลายคราในคลับเฮาส์ ย่อมจะพบว่าครั้งนี้เขาเองดูมีความหวังมากกว่าครั้งไหนๆที่ผ่านมา โดยเฉพาะในยามที่เสียงขับไล่ โจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ดังถี่ยิบและเซ็งแซ่ ยิ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบภาพความเป็นผู้นำระหว่างทักษิณ กับนายกฯประยุทธ์ มากขึ้นเท่านั้น แต่นานวันกลับดูเหมือนว่าหนทางกลับบ้านของทักษิณ ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นทุกที เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” ในวันนี้ยังไม่มี “ศักยภาพ” มากพอที่จะต่อกรกับฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นเห็นจะมีแต่ “ความวุ่นวาย” ในบ้านเมืองเท่านั้นที่จะทำให้เขายังอยู่ในหัวใจของผู้คน วันนี้การเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองของมวลชนกลุ่มต่างๆ กลับมีนัยยะสำคัญที่ซ่อนอยู่ เพราะไม่ใช่เพียงแค่การออกมาขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ให้ออกจากตำแหน่งแล้วเท่านั้น เพราะแม้แต่แกนนำเองก็รู้ดีว่าคนอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีทางเดินออกไปเพราะแรงกดดันบนท้องถนน ตามที่เขาเองได้เคยประกาศเอาไว้อย่างแน่นอน ทว่าการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวที่เลือกใช้ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำนปช.ที่ออกมารับไม้ต่อจาก “จตุพร พรหมพันธุ์” ประธานนปช. ร่วมด้วยกับแกนนำคนเสื้อแดงตามจังหวัดรอบนอก ที่กำลังผสมโรงเข้ากับ “ม็อบราษฎร” ย่อมทำให้เกิดคำถามตามมาว่างานนี้ทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริงหรือไม่ เพราะณัฐวุฒิ ก็คือ “ลูกน้อง” ของเขาเองที่เคยได้ดีเป็นรัฐมนตรี เพราะได้บำเหน็จจากการนำม็อบคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวมาแล้ว นอกจากนี้ในการชุมนุมป่วนเมืองตลอดทั้งสัปดาห์ที่เกิดขึ้น ยังมีรายงานว่า “มือมืด” ที่ถูกส่งเข้ามาสมทบกับผู้ชุมนุมก็มาจากการ “จัดหา” มาจาก “ฝ่ายการเมือง” อยู่เบื้องหลังนั่นเอง การจัดม็อบป่วนเมืองในห้วงเวลาที่แทบไม่มีปัจจัยหรือเงื่อนไขทางการเมืองให้นำมาใช้เป็น “น้ำหนัก” เช่นนี้ กำลังถูกจับตาว่าแท้ที่จริงแล้วเบื้องหลังปฏิบัติการใช้ความรุนแรง สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เพราะมีใครบางคน “หวังผล” จากสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพื่อดึง “อำนาจต่อรอง” เข้ามาอยู่ในมือหรือไม่? เพราะหากจะให้กลับมาโดยช่องทางปกติ ผ่านการเจรจา เปิดดีลพิเศษเพื่อเบิกทางให้ทักษิณ ได้กลับบ้าน ก็กลายเป็น “ดีลล่ม” ไปเรียบร้อยแล้ว ! เมื่อมีรายงานว่าการเจรจาลับระหว่าง “ทักษิณ” กับ “แกนนำพลังประชารัฐ”ไม่เป็นผล บนข้อเสนอที่ว่าให้พรรคเพื่อไทยมาจับมือกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อตั้งรัฐบาล ไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯแต่ให้หา “นายกฯคนนอก” โดยที่แกนนำคนดังกล่าวขอ เก้าอี้ “มท.1”เป็นรางวัล หลังจากที่เคยผิดหวังเมื่อครั้งที่มีการปรับครม. แล้วยึดเอาเก้าอี้รัฐมนตรีในโควต้า “กปปส.” คืน ทุกอย่างทำท่าว่าอาจจะไปได้สวย เพราะในระหว่างการทอดไมตรีของสองขั้วอำนาจนั้นว่ากันว่ายังมีการเจรจาพูดคุยกันระหว่างรัฐมนตรีของพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยว่าจะมีการจัดสรรงบประมาณลงไปให้ และนี่คือ “ชนวน” ที่ทำให้ “พรรคก้าวไกล” ไม่เอาด้วย จนออกอาการฟาดงวงฟาดงาใส่พรรคเพื่อไทย เกิดเป็นความขัดแย้งในการพิจารณาร่างงบประมาณ 2565 มิหนำซ้ำทำไป ทำมายังกลายเป็นว่า “ข้อเสนอ” ระหว่าง ทักษิณ กับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ยังไปไม่ถึงไหน เพราะแกนนำในพรรคเพื่อไทย ไม่เอาด้วย เมื่อดีลลับล่ม ไม่เป็นท่า โอกาสกลับบ้านมาอย่างเท่ๆ ตามช่องทางพิเศษจึงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ดังนั้นจึงเหลือแต่สนามรบบนท้องถนนที่น่าจะพอทำให้ ทักษิณ ได้ฝากความหวังเอาไว้ได้ มากกว่าวิธีอื่น เพราะไม่ว่า ความวุ่นวาย หรือสงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นโดย “ฝีมือใคร” ก็ตาม แต่อย่าลืมว่า นาทีนี้ถ้าคนชื่อ “ประยุทธ์” คุมไม่อยู่ ใครๆก็ต้องเรียกหา “ทักษิณ” ให้กลับมาทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง อีกครั้ง ! ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมถึงมีการเร่งเกมบนท้องถนนในช่วงนี้ กระทั่งเกิดความรุนแรงจากการชุมนุมขึ้นทุกครั้ง