ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
บางคนมีชีวิตที่น่าอิจฉา ทั้งความร่ำรวยและพรั่งพร้อมด้วยความสุขในทุกนาที
“คุณจ้อย” เป็นชื่อที่เพื่อน ๆ เรียกเพื่อนร่วมรุ่นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่แสนน่ารักคนหนึ่ง เราเรียนร่วมกันอยู่ 4 ปี และตลอด 4 ปีนั้นก็มีเรื่องความสนุกสนานและประทับใจระหว่างกันอยู่มาก ด้วยลักษณะเด่นที่เป็นพิเศษของคุณจ้อย ชื่อที่พวกเราเรียกขานด้วยความเอ็นดู จากความน่ารักของเธอ
ผมมารู้จักคุณจ้อยในวันรับน้อง ตั้งแต่ตอนเช้าที่เราต้องเข้าแถวไปสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พวกเราชาวจุฬาฯเรียกว่า “พระบรมรูป 2 รัชกาล” ผู้ทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาพที่เห็นคือคุณจ้อยถูกรุมล้อมด้วยรุ่นพี่ ที่พากันเอาแป้งกระป๋องโปรยใส่ขาววอกไปทั้งตัว พร้อมกับคล้องใบจามจุรีจนเต็มคอ ในขณะที่คุณจ้อยก็ยิ้มอย่างร่าเริง และดูเหมือนจะชื่นชอบเป็นอย่างมากด้วย ที่ถูกรุมล้อมด้วยเสียง “ว้าก” ตะโกนเพลงบูมรัฐศาสตร์และบูมจุฬาฯจากพวกรุ่นพี่ทั้งหลายนั้น
พอกลับมาที่คณะ พวกเราน้องใหม่ก็จะถูกมัดมือเข้าด้วยกันเป็นคู่ ๆ ชายกับหญิง จากนั้นก็จะถูกรุ่นพี่ต้อนให้ไปมุดซุ้ม และทำกิจกรรม “พิลึก ๆ” หลายอย่าง เช่น ล้วงไส้เดือน กินน้ำสีประหลาด เอาน้ำแข็งใส่ในเสื้อผ้า และคลำขยะ เป็นต้น ซึ่งความจริงรุ่นพี่จะให้ดูสิ่งของต่าง ๆ นั้นก่อน แล้วบอกว่าจะให้ทำอะไร จากนั้นก็ปิดตาของเราทั้งคู่ แล้วก็ให้ทำตามที่บอก โดยไม่ได้เอาสิ่งของที่น่าขยะแขยงเหล่านั้นให้จับหรือกินจริง ๆ แต่อย่างใด น้องใหม่หลายคนร้องวี้ดว้ายด้วยความตื่นเต้นตกใจ แม้กระทั่งหวาดกลัว แต่กระนั้นทุกคนก็ทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่รุ่นพี่บอกไปจนเสร็จ แต่สำหรับน้องใหม่ผู้ชายบางคนอาจจะถูกรุ่นพี่บอกให้ทำอะไรที่หวาดเสียวยิ่งขึ้นไป อย่างเช่น วิ่งวิบาก กระโดดลงบ่อน้ำ หรือขึ้นต้นไม้ขอความรักน้องใหม่ผู้หญิง ซึ่งก็ดูจะไม่มีใครกลัว บางคนแม้รุ่นพี่ไม่ได้สั่งก็กระโดดลงบ่อน้ำหรือปีนขึ้นต้นไม้เสียเอง ด้วยความครื้นเครงตามประสา
พอตอนเที่ยงก็เลิกกิจกรรมในลานกลางแจ้ง ให้น้องใหม่ไปล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้าห้องประชุม มาร่วมรับประทานอาหารกัน แล้วร้องเพลงเชียร์ มีรุ่นพี่เข้ามาทำพิธี “รับขวัญ” ให้น้อง ๆ แนะนำตัวทำความรู้จักกัน พร้อมกับให้รู้จักการใช้ชีวิตร่วมกันใน “ถ้ำสิงห์” รวมถึง “ประเพณี” บางอย่างของการมาอยู่ด้วยกันที่นี่ อย่างที่เป็นเรื่องโดดเด่นของจุฬาฯ ก็คือ “SOTUS” หรือ “ระบบอาวุโส” (เรื่อง “โซตัส” นี้ในปัจจุบันไม่ค่อยจะเหลือให้เห็นแล้ว อาจจะทั้งด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป และระบบการศึกษาที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงกระแสต่อต้านให้ล้มเลิกที่เป็นมาโดยตลอดนั้น) ได้แก่ S = Seniority คือ ความเคารพรุ่นพี่ และระบบอาวุโส O = Order คือ ระเบียบวินัย การเคารพกฎเกณฑ์ต่าง ๆ T = Tradition คือ การยึดมั่นในวัฒนธรรมประเพณี “ความเป็นจุฬาฯ” U = Unity คือ ความรัก ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และ S = Spirit คือ “จิตวิญญาณ” ของความเป็นจุฬาฯ ที่พร้อมด้วยองค์ประกอบทั้ง 4 นั้น ซึ่งในสมัยที่พวกผมเข้าเรียน (พ.ศ. 2519) เริ่มคลายตัวไปมากพอควร ภายหลังที่มีเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่นิสิตนักศึกษาได้ก่อการประท้วงขับไล่ทหารออกไปจากอำนาจ อันเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งเสรีภาพและความเสมอภาค ที่ทำให้ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (รวมถึงโรงเรียนมัธยม) มีการเรียกร้องให้ล้มเลิกประเพณีที่ล้าหลัง รวมถึงประเพณีรับน้องและระบบโซตัสนี้ด้วย
คุณจ้อยเป็นที่จดจำของพวกเราก็ในตอนที่แนะนำตัวเองนี่แหละ เพราะคุณจ้อยแนะนำคุณพ่อคุณแม่อย่างละเอียด จนดูเหมือนว่าคุณจ้อยมีคนสองคนนี้เท่านั้นที่คุณจ้อยรู้จัก คุณจ้อยแนะนำว่าคุณพ่อเป็นนายกสมาคมทางการค้าแห่งหนึ่ง คุณแม่เป็นราชนิกุลชั้นหม่อมหลวง ที่บ้านอยู่กันกี่คน มีแมวกี่ตัว หมากี่ตัว และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ อะไรบ้าง โดยตอนที่พูดถึงคนในบ้านก็บอกด้วยว่ามีคนรับใช้กี่คน ทำงานอะไรกันบ้าง และพอคุณจ้อยมาเรียนที่คณะรัฐศาสตร์นี้ คุณพ่อก็จ้างคนขับรถเพิ่มขึ้นอีก ๑ คน เพราะต้องมาส่งและรับคุณจ้อยทุกวัน เพราะพี่ ๆ ทำงานหมดแล้ว ทุกคนมีรถขับ แต่คุณจ้อยยังต้องมีคนคอยรับคอยส่งอยู่ ทั้งยังบอกด้วยว่าตัวเองเป็นลูกคนเล็กและตัวเล็ก จึงมีชื่อเล่นว่า “คุณจ้อย” พอดีหมดเวลาแนะนำตัว ไม่งั้นคุณจ้อยก็คงจะพรรณนารายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองอีกมากมาย แต่พวกเราก็ไม่เบื่อ เพราะคุณจ้อยพูดได้น่ารัก ด้วยท่าทางแบบที่เรียกในสมัยนี้ว่า “แอ๊บแบ๊ว” โดยคุณจ้อยก็มีหน้าตาที่ดู “บ้องแบ๊ว” นั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งเสริมความน่ารักให้ดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก
คุณจ้อยเป็นคนเรียนเก่ง มีความรู้ภาษาต่างประเทศหลายภาษาจากโรงเรียนมัธยมที่ได้จบมา เวลาเรียนจะนั่งแถวหน้า และมักจะเห็นนั่งอยู่ก่อนใคร ๆ ในทุกวันที่มีชั่วโมงเรียนเช้า ในตอนที่เรียนปี 1 คุณจ้อยจะชอบผูกโบที่ผม และเปลี่ยนสีโบไม่ค่อยซ้ำกัน พวกเราชอบที่จะทายว่าวันนี้คุณจ้อยจะผูกโบสีอะไร เรียกว่าเป็นรายการบันเทิงประจำวันของพวกเรา จนกระทั่งขึ้นชั้นปี 2 คุณจ้อยก็ซอยผมสั้นเลยไม่ได้ผูกโบให้พวกเราได้เสี่ยงทายอะไรอีก แต่ก็มีของเล่นใหม่ให้ทาย นั่นก็คือกิ๊บติดผม ที่คุณจ้อยมักจะมีกิ๊บรูปแบบที่น่ารักเปลี่ยนใส่มาทุกวัน รวมถึงที่เข็มขัดก็จะมีตัวหนีบลวดลายเข้ากันเปลี่ยนไปทุกวัน และที่พวกเราชอบดูอีกอย่างหนึ่งก็คือถุงเท้าของเธอ เพราะถ้าวันไหนที่เธอใส่รองเท้าผ้าใบ แม้ว่ารองเท้าผ้าใบจะเป็นสีหวานเรียบ ๆ แต่ถุงเท้าของเธอจะมีสีสันและลวดลายไม่ซ้ำกัน ซึ่งก็สร้างความเพลิดเพลินให้กับพวกเราในทุกวันนั้นด้วย
ตอนที่เรียนปีหนึ่งนี่เอง พวกเราก็ได้ยินเรื่องตื่นเต้นของคุณจ้อยที่ยังจดจำได้ไม่ลืมเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่คุณจ้อยกลับบ้านไม่ถูก เรื่องมีอยู่ว่า ทุกวันคุณจ้อยจะมีคนขับรถ ขับรถมาส่งที่คณะทุกวัน พอตอนบ่าย ๆ ก็จะมีรถมารับ หรือบางวันที่มีกิจกรรมของน้องใหม่ ที่จะต้องซ้อมเพลงเชียร์ หรือการประชุม “พี่น้อง” ที่มีอยู่บ่อย ๆ คนขับรถก็จะมาจอดรถรออยู่ วันที่เกิดเหตุนั้นเป็นวันที่มีการเลิกเรียนในตอนบ่ายตามปกติ แต่ก็ได้มีเสียงเพื่อน ๆ กลุ่มของคุณจ้อยส่งเสียงอึกทึกว่า คนขับรถไม่ได้มารับคุณจ้อย เพราะรถเสียกลางทาง จะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ยังไม่รู้ จึงมีคนไปช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้มารับคุณจ้อย แต่คุณจ้อยพอขึ้นแท็กซี่และออกรถไปสักครู่แล้วก็กลับรถเข้ามาที่คณะ เพื่อน ๆ ก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบของคุณจ้อยก็คือ “เราไม่รู้ว่าบ้านเราอยู่ซอยไหน บ้านเลขที่อะไร รู้แต่ว่าอยู่สุขุมวิท เลยต้องกลับมาจะใช้โทรศัพท์ที่คณะโทรไปถามที่บ้าน” (สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ จะมีก็แต่โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์สาธารณะ หรือโทรศัพท์ทำงาน)
นี่แหละที่เป็นที่มาของคำว่า “คุณจ้อย คุณหนูผู้น่ารัก” ที่ยังมีวีรกรรมที่น่ารัก ๆ อีกมาก