"กระทรวงพาณิชย์"ฟันผิดวินัยร้ายแรง 3 เจ้าหน้าที่"อคส." ปมจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จ่อไล่ออก เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ว่า คณะกรรมการพิจารณาความผิดทางวินัยที่มี นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้พิจารณาความผิดทางวินัยกรณีเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) จำนวน 3 ราย ที่ถูก อคส.แจ้งข้อกล่าวหาจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท โดยมิชอบด้วยกฎหมายเสร็จแล้ว โดยทั้ง 3 คน มีความผิดวินัยร้ายแรง และได้ออกหนังสือลงวันที่ 30 ก.ค.64 ให้มารับทราบข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน หรือภายในวันที่ 15 ส.ค.64 โดยหลังจากครบกำหนดแล้ว คณะกรรมการฯ จะสรุปการรับทราบข้อกล่าวหา และเสนอความเห็นเรื่องการลงโทษไปให้ นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ อคส. พิจารณาลงโทษตามที่เสนอ คาดว่าน่าจะลงโทษสถานเดียวคือไล่ออก ส่งผลให้ทั้ง 3 คน ไม่ได้รับเงินบำเน็จ หรือบำนาญใดๆ และอคส.จะฟ้องร้องเรียกเงินเดือนกลับจากทั้ง 3 คน นับตั้งแต่ที่ความผิดเกิดขึ้น หรือตั้งแต่เดือน ส.ค.63 เป็นต้นมาด้วย สำหรับทั้ง 3 ราย ที่ถูกสอบวินัยร้ายแรงได้แก่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. มีอัตราเงินเดือนกว่า 80,000 บาท และเจ้าหน้าที่บริหารระดับ 8 คือ นายเกียรติขจร แซ่ไต่ เงินเดือนกว่า 30,000 บาท และนายมูรธาธร คำบุศย์ เงินเดือนกว่า 20,000 บาท อย่างไรก็ตามจนถึงวันที่ 10 ส.ค.64 มีเพียงนายเกียรติขจรคนเดียวที่มารับทราบข้อกล่าวหา และให้การปฏิเสธ โดยยืนยันว่าปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บริหารซึ่งเป็น 1 ในคณะกรรมการ อคส. ส่วนการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด ที่มี นายวันชัย วราวิทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ล่าสุดได้ทยอยเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำแล้ว คาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จ และทำคำวินิจฉัยได้อย่างช้าไม่เกินกลางเดือน ก.ย.2564 เพื่อเสนอต่อผู้อำนวยการ อคส. จากนั้นอคส.จะเสนอคำวินิจฉัยไปให้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด กระทรวงการคลังพิจารณาอีกครั้ง หากมีความเห็นตรงกัน อคส.จะออกคำบังคับแจ้งให้เจ้าหน้าที่ อคส. รวมถึงกรรมการในบอร์ดอคส.ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ชดใช้ความเสียหายให้อคส. เบื้องต้นราว 2,000 ล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ย และค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ แต่หากไม่ชดใช้ให้ อคส.สามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครอง หรือถ้าไม่มีเงินชดใช้ ต้องบังคับคดีและยึดทรัพย์ ทั้งนี้ คาดว่าผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับอคส.นอกจากเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ราย และ 1 ในบอร์ด อคส.ที่เป็นผู้สั่งการแล้ว ยังจะมีเจ้าหน้าที่ อคส.รายอื่นอีกเช่น เจ้าหน้าที่การเงินที่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการทุจริต แต่มีความประมาทเลินเล่อในหน้าที่ จนทำให้ อคส.เสียหาย รวมถึงกรรมการในบอร์ด อคส. ชุดปัจจุบันทุกคน ที่อาจทราบเรื่องการจัดซื้อถุงมือยาง และมีอำนาจ หน้าที่ควบคุมแลกิจการของ อคส. ตามมาตรา 17 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง อคส.พ.ศ.2498 แต่กลับไม่ยับยั้ง หรือไม่สั่งการให้ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ รายงานบอร์ด โดยในส่วนของการไต่สวนข้อเท็จจริงของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังจากได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ทั้งหมดได้ทยอยรับทราบข้อกล่าวหา และแก้ข้อกล่าวหา คาดว่าป.ป.ช.จะสรุปผลการไต่สวนและชี้มูลความผิดได้ในเร็วๆ นี้ ก่อนส่งให้อัยการส่งฟ้องดำเนินคดีอาญา ขณะที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะดำเนินคดีแพ่ง และยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ความเสียหายให้ อคส.