วันที่ 10 ส.ค.64 ที่สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี เมื่อเวลา 09.30 น. ที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ (ปช.) นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อชาติ (พช.) นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย และนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เดินทางยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช.ขอให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ กรณีออกประกาศฉบับที่ 29 ตามพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จำกัดสิทธิเสรีภาพการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของประชาชนและสื่อมวลชน จนทำให้สื่อมวลชนยื่นฟ้องศาล จนในที่สุดศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว ข้อกำหนดนั้นจึงไม่มีผลบังคับใช้ แต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่ทบทวนและกระทำการสอดรับคำสั่งดังกล่าว ทั้งนี้การกระทำของพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีความผิดชัดเจนเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 4 กระทง ที่กระทบต่อบุคคลและสาธารณชนในวงกว้าง คือ 1.กระทำผิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 36 ที่รับรองและคุ้มครองเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารถึงกันของบุคคล ซึ่งถือเป็นการจำกัดสิทธิบุคคล เรื่องเสรีภาพข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งมาตรา 35 ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ 2.พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต 3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และเข้าข่ายกระทำความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 4.ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ซึ่งให้นำมาใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีด้วย ตามข้อ 8 ข้อ 11 ข้อ 12 และข้อ 13 นายสุทิน กล่าวว่า จากการบริหารงานผิดพลาดจนแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ยังเตรียมออกกฎหมายปิดปาก และกำลังจะดันเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมโดยการออก ร่าง พ.ร.ก. จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 ให้ตนเอง ถือเป็นการกระทำผิดครบวงจรคือ ไม่รับผิดชอบ และหนีความผิด พรรคฝ่ายค้านจึงได้รวมตัวกันมายื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอความเป็นธรรม “วันนี้มาขอพึ่ง ป.ป.ช. เพื่อให้พิจารณาไต่สวนและเอาผิดพลเอกประยุทธ์ เพื่อดันคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาคดีแผนกอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป เชื่อว่าหากศาลประทับรับฟ้อง จะมีผลสั่งให้พลเอกประยุทธ์ หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือจะเป็นการอื่นใดสุดแท้แต่ศาล แต่ปลายทางแล้วเชื่อว่า เมื่อพิสูจน์ความผิดตามข้อกล่าวหาทั้งหมดแล้ว จะมีผลกระทบต่อสถานภาพพลเอกประยุทธ์แน่นอน” นายสุทิน กล่าว นายพิจารณ์ กล่าวว่า การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้เห็นชัดว่าผิดประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ขณะที่ประชาชนกำลังประสบวิกฤต พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ร่วมชะตากรรม หรือประสบวิกฤตกับเราเลย แต่กำลังประสบวิกฤตศรัทธา ประสบวิกฤตที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล แต่สิ่งที่ท่านทำกลับคือการออกข้อกำหนดเพื่อปิดปากประชาชนและสื่อมวลชนที่เห็นว่ารัฐบาลล้มเหลวอย่างไร วัคซีน อุปกรณ์การแพทย์ และยา จัดหาไม่มากพอ ทำให้ประชาชนเสียชีวิตทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับออกข้อกำหนดที่มาปิดปากไม่ให้ใครพูด ฝ่ายค้านเรารับไม่ได้ จึงดำเนินการเพื่อยุติพฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อถามว่าเมื่อศาลสั่งคุ้มครองแล้ว รัฐบาลควรดำเนินการอย่างไรกับข้อกำหนดนี้ นายสุทินกล่าวว่า นั่นสิ วันนี้เราก็แปลกใจว่าเมื่อศาลสั่งคุ้มครองมาหลายวันแล้วแต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉยอยู่ ตนคาดหมายว่ารัฐบาลน่าจะมีปฏิกิริยาหรือมีการกระทำใดๆ ที่สอดรับ เช่น การยกเลิกข้อกำหนด แต่กลับไม่มีการยกเลิก แต่ที่สำคัญนอกจากผิดพลาดในการแก้ไขสถานการณ์แล้วยังออกข้อกำหนดมาปิดปาก วันนี้เราจะมายื่นเอาผิด ก็กำลังจะออกยกเลิก หรือนิรโทษกรรมให้กับตัวเองแบบสุดซอยอีก คือครบวงจร ไม่รับผิดชอบ แล้วหนีความผิดแบบครบวงจร จึงขอให้เราช่วยกันติดตามการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยให้ตัวเองพ้นผิดจากการบริหารสถานการณ์ครั้งนี้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองแม้รัฐบาลจะไม่ยกเลิกเพิกถอนก็ไม่มีผลบังคับใช้ แต่หากศาลพิพากษาออกมาชัดจะยิ่งมัด ซึ่งคำพิพากษาจะเป็นประโยชน์ต่อการยื่นร้องในวันนี้ของฝ่ายค้าน และเป็นประโยชน์ที่เราจะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นหลักฐานที่ชัดเจน อยากฟังว่าเขาจะตอบอย่างไร เมื่อถามถึงท่าทีของฝ่ายค้านต่อการที่รัฐบาลเตรียมออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อวัคซีน นายสุทินกล่าวว่า ตนคิดว่าไม่ใช่เฉพาะฝ่ายค้านหรอกที่รับไม่ได้ สังคมก็รับไม่ได้ เพราะการบริหารราชการผิดพลาด ล้มเหลวชัดเจน ฝ่ายค้านก็จะสู้เต็มที่ทุกวิถีทาง และเชื่อว่าสังคมเองก็จะร่วมกันต่อสู้ เพราะจะเป็นการสร้างมาตรฐานที่ผิดพลาด และเป็นรัฐที่ไร้ซึ่งระบบนิติรัฐ นิติธรรมอย่างสิ้นเชิง ท่านทำแล้วนิรโทษกรรมให้ตัวเองแบบไม่มีเหตุผล ในกฎหมายปกติคุณก็สามารถต่อสู้และชี้แจงได้ ระบบมันเปิดให้ต่อสู้ได้ ด้าน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ถ้าเราช่วยกันทำให้แท้งก่อนจะคลอดออกมาเป็น พ.ร.ก.จะเป็นประโยชน์มาก เมื่อถามว่าหาก พ.ร.ก.นี้ออกมาจะเป็นชนวนความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนในอดีตหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า เป็นไปได้สูง เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจต่อมาตรฐานของระบบนิติรัฐและนิติธรรมอย่างยิ่ง อย่าทำเลย เพราะจะกลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต นายกฯกำลังหาปัญหาใส่หัวอีกในปมอื่น เมื่อถามย้ำว่าการเตรียมออกกฎหมายแบบนี้แปลว่ารัฐบาลรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำผิดใช่หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ใช่ รู้ดี ถ้าไม่รู้ดีคงไม่ออก แต่วันนี้รู้ดีว่าตัวเองทำผิดพลาด และผลเสียหายปรากฏต่อสาธารณะแล้ว ก็ต้องดำเนินการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าคุณบริสุทธิ์จริงคุณสามารถสู้ในกระบวนการปกติ และชี้แจงต่อประชาชนในสภาได้ ทั้งนี้ ฝ่ายค้านจะไม่รับกฎหมายนี้แน่นอน ยังไม่ต้องดูเนื้อหาก็ได้ วิธีการนี้ไม่ควรนำมาใช้ในสภาวะแบบนี้ รับไม่ได้ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า หากออก พ.ร.ก.นิรโทษจะไปกระทบต่อประชาชนที่เสียชีวิตจากโควิด เพราะเราพิสูจน์ให้เห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ทางอาญา คือปล่อยให้มีความบกพร่อง ซึ่งเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเลย วันนี้เรายื่นร้องให้ดำเนินการทางอาญา ขณะที่รัฐบาลไม่มีการเยียวยาให้แก่ผู้เสียชีวิตจากความบกพร่องผิดพลาดในการบริหารของรัฐบาล