"บช.น."ตั้งโต๊ะแถลงสรุปเหตุการณ์ม็อบปะทะตำรวจ จับ "ม็อบ7สิงหา" ได้ 14 คน เอาผิด 6 คดี เตรียมดำเนินคดีมือดีทำลายป้ายสำนักงาน ตร. ด้าน "เพนกวิน" บุกตร.ท้าให้จับ ขณะที่ "ยุทธพงศ์" เผยฝ่ายค้านพุ่งเป้า "นายกฯ-อนุทิน" ศึกซักฟอกเตรียมชงเชือด "บิ๊กป้อม" พ่วงอีกคนฐานหนุนซื้อ "เรือดำน้ำ" ช่วงโควิด-19 ระบาด แฉ "นายกฯ" ปล่อยให้เปลี่ยนการใช้งบ จัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ 921 ล้านบาท "ชูศักดิ์" จ่อยื่นป.ป.ช. สอบ "บิ๊กตู่" ออกข้อกำหนดไม่ชอบ สัปดาห์หน้า
จากกรณีม็อบเยาวชนปลดแอก และแนวร่วมกลุ่มต่างๆ ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง ใกล้กันบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หน้าโรงพยาบาลราชวิถี โดยมีเหตุการณ์ลอบเผารถยนต์ 6 ล้อควบคุมผู้ต้องหา และทุบป้อมจราจรสน.พญาไท เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 8 ส.ค.64 พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. เปิดเผยถึงเหตุการณ์ การปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุม"ม็อบ 7สิงหา" เมื่อวันที่ 7 ส.ค.64 ที่ผ่านมา ว่า จากเหตุการร์ดังกล่าวทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 3นาย จับกุมผู้ต้องหารวม 14 คน รวม 6 คดี
ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งดำเนินคดีกับคนร้ายที่บุกมาที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมรื้อทำลายป้ายบริเวณด้านหน้าจนได้รับความเสียหาย โดยคาดว่าเกิดเหตุหลังเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะไทยไม่ทน นำโดย นายไทกร พลสุวรรณ และนายยศวิศ ชูกล่อม จัดกิจกรรม "ต้อนรับ CAR MOB สลิ่มกลับใจ" ที่แยกราชประสงค์ สอดรับกับกิจกรรม CAR MOB "สลิ่มกลับใจ ไล่ประยุทธ์" ที่นำโดย นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ "ลูกนัท" อดีต กปปส. ที่ใช้เส้นทางย่านสุขุมวิทและทองหล่อ โดยเป็นการตั้งขบวนรถยนต์รอรับขบวนของ "ลูกนัท" และเข้าสมทบกันก่อนจะเคลื่อนผ่านประตูน้ำ ก่อนตรงกลับไปยังย่านทองหล่อและเสร็จสิ้นกิจกรรม
ด้าน นายพริษฎ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจส่วนตัวว่า "จะเดินทางไปที่สำนักงานตำ รวจแห่งชาติ(สตช.) พร้อมให้ควบคุมตัวในเวลา 13.00 น. หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการจับกุมผม ก็ให้มาจับที่นั่น ถ้าไม่จับก็จะถือว่าไม่อยากจับแล้ว จะได้มุ่งหน้ากับการต่อสู้ต่อไป"
วันเดียวกัน นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในการยื่นอภิ ปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 16ส.ค.นี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านมีความพร้อมในการเปิดเผยข้อมูลความผิดพลาดของ รัฐบาล จากการบริหารสถานการณ์โควิด-19ตลอดช่วง1ปี 7เดือนที่ผ่านมา โดยพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข โดยเฉพาะนายกฯที่ปล่อยปละละเลยให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้งบประมาณในโครงการจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธจำนวน 169 คัน มูลค่ารวม 921 ล้านบาท จากที่เคยขออนุมัติงบประมาณ เพื่อจัดซื้อรถใหม่ เปลี่ยนเป็นการซ่อมรถที่หมดสภาพ ค่าซ่อม 2. 5 ล้านบาทต่อคัน นอกจากนี้ตนจะเสนอต่อ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเพิ่มรายชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นหนึ่งในผู้ถูกอภิปรายฯด้วย เนื่องจากในสถานการณ์โควิด-19พล.อ.ประวิตรยังสนับสนุนให้จัดซื้อเรือดำน้ำ
"ผมขอฝากถึง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบปี 65 อาจกระทำการไม่ถูกต้องที่ไม่ตรวจสอบที่มาของรถหรูของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษก กมธ.งบปี 65ตามที่ตนได้ทำหนังร้องเรียนไปเมื่อช่วงปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากนายเรืองไกรอาจกระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา144ที่ระบุว่า"ในการพิจารณาของสภาฯ วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้ส.ส. ,ส.ว.หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้" จากนั้นตนจึงได้ยื่นหนังสือต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ให้ตรวจสอบ และพิจารณาเรื่องดังกล่าว ก่อนที่จะบรรจุระเบียบวาระร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ วาระ2และวาระ3ในช่วงวันที่ 18-20ส.ค.นี้ เพราะหากนายเรืองไกรกระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา144อาจทำให้ ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 65ผิดกฎหมายทั้งฉบับได้
ส่วน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เบื้องต้นพรรคเพื่อไทยชัดเจนแล้วว่าจะยื่นอภิ ปราย พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับรัฐมนตรีคนอื่นด้วย แต่จะนำไปหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านวันที่ 11 ส.ค. เพื่อสรุปรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายกันอีกครั้ง
นายชูศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีศาลแพ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามพล.อ.ประยุทธ์บังคับใช้ ข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 29 โดยระบุว่าข้อกำหนดที่ออกมาไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ระบบของรัฐธรรมนูญปี 60 ที่วางไว้ หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องพิจารณาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยต้องยื่นเรื่องผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หากป.ป.ช.ไต่ส่วนมีมูลเข้าข่ายความผิดทางอาญาก็จะส่งให้อัยการยื่นเรื่องต่อศาลฎีกานักการเมือง ถ้ามีมูลเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงเรื่องก็จะไปถึงศาลฎีกา โดยประเด็นนี้ทางพรรคเพื่อไทยอยู่ระหว่างการร่างคำร้องเพื่อยื่นต่อป.ป.ช.ให้ไต่สวนพล.อ.ประยุทธ์ดำเนินการโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ เพราะคำสั่งศาลแพ่งระบุไว้ชัดเจนว่าการออกข้อกำหนดดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนกฎหมาย เข้าข่ายฝ่าฝืนประมวลจริยธรรม เมื่อร่างคำร้องเสร็จแล้วก็จะให้ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันลงชื่อเพื่อยื่นต่อป.ป.ช.ต่อไป คาดว่าจะยื่นได้ช่วงสัปดาห์หน้า