นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ในการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกเดือน ก.ค.64 ถือว่ามีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลตารุนแรงกว่าระลอกแรกเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้มาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวในเดือนส.ค. ที่ปัจจุบันได้ขยายจังหวัดคุมเข้มสูงสุดเป็น 29 จังหวัด ส่งผลให้ภาคค้าปลีกต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปี 2566
ทั้งนี้ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) อยู่ที่ระดับ 16.4 ลดต่ำสุดในรอบ 16 เดือน คิดเป็นความเชื่อมั่นหดตัว -70% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2.7 แสนล้านบาทกว่า 1 แสนร้านค้าเตรียมปิดกิจการ กระทบการจ้างงานกว่าล้านคน และการลดลงของยอดขายสาขาเดิมเดือนกรกฏาคมปีนี้ Same Store Sale Growth (SSSG) เกิดจากทั้ง Spending Per Bill หรือ Per Basket Size และความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ลดลงพร้อมกันทั้งคู่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก สะท้อนถึงการฟื้นตัวต้องใช้เวลา
โดยสมาคมฯ คาดว่า ภาคการค้าปลีกและบริการครึ่งปีหลังจะทรุดหนัก การเติบโตโดยรวมปีนี้ มีแนวโน้มจะติดลบทั้งปี ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ยืนอยู่ที่ระดับ 27.6 ต่ำกว่าดัชนีเดือนเมษายนปี 2563 ที่ระดับ 32.1 สะท้อนถึงความวิตกกังวลในความไม่ชัดเจนต่อแนวทางการกระจายการฉีดวัคซีนที่ภาครัฐยังมีความล่าช้า และมาตรการเยียวยาที่ไม่เข้มข้นมากพอ รวมทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อที่ภาครัฐประกาศจะอัดฉีดเพิ่มเติม ไม่ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ยังมีดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 1.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ปรากฎว่า ลดลงต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 อย่างต่อเนื่องใน ทุกภูมิภาค เป็นผลจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะภาคกลาง ที่ลดลงอย่างชัดเจนกว่าภาคอื่นๆ เนื่องจากภาคกลางมีคลัสเตอร์การแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในโรงงานเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นใน 3 เดือน ข้างหน้าก็ลดลงในทุกภูมิภาคอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 ค่อนข้างมาก สะท้อนให้เห็นว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งนี้ ผู้ประกอบการประเมินว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อไม่จบง่ายๆประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอ การฟื้นตัวต้องใช้เวลานาน
2.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก จากผลการสำรวจพบว่าดัชนีปรับลดลงมากอย่างชัดเจน และต่ำลงในทุกประเภท โดยเฉพาะร้านค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกประเภทร้านอาหารไ ด้รับผลกระทบโดยตรงและหนักสุดจากมาตรการการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ยอดขายลดลงกว่า 80-90 % เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ส่วนร้านค้าประเภทสะดวกซื้อ ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการที่กำหนดให้ปิดบริการตั้งแต่ 21.00 - 04.00 น มีผลต่อยอดขายหดหายกว่า 20 - 25% จากที่รายได้ในรอบดึกที่เป็นส่วนหนึ่งของ Peak Hour หายไป และจำนวนสาขาของร้านค้าสะดวกซื้อกว่า 40% ตั้งอยู่ในเขตสีแดงเข้มที่เป็นเขตควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด
บทสรุปประเด็นสำคัญของ "การประเมินผลกระทบต่อยอดขาย กำลังซื้อ และการจ้างงานต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ระลอกใหม่ จากมุมมองผู้ประกอบการ" ในเดือนกรกฎาคม
1.ผู้ประกอบการกว่า 90% เห็นว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคมีสัญญาณปรับตัวแย่กว่าเดือนมิถุนายนค่อนข้างมาก เพราะมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของแผนการฉีดและกระจายวัคซีนของภาครัฐ
2.ผู้ประกอบกว่า 63% ประเมินว่า ยอดการจับจ่ายและการใช้บริการ (Traffic) ลดลงมากกว่า 25% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน และไม่มีพฤติกรรมในการกักตุน Stock Up เพราะกำลังซื้อของประชาชนที่อ่อนตัวลง
3.ผู้ประกอบการ 61% ยอมรับว่าการจับจ่ายและการใช้บริการ (Traffic) ลดลงมากกว่า 25% เป็นผลจากมาตรการเคอร์ฟิว
4.ผู้ประกอบการกว่า 41% มีการปรับลดการจ้างงาน หรือปรับลดชั่วโมงการทำงาน เพราะธุรกิจมียอดขาย และค่าธรรมเนียมการขายที่ลดลง
5.ผู้ประกอบการ 53% มีสภาพคล่องทางการเงินไม่ถึง 6 เดือน สะท้อนถึงภาวะธุรกิจที่ฝืดเคือง และการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการได้รับการแก้ไข
6.ผู้ประกอบการ 42% คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 ปี 2564 จะหดตัว 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2563
7.ผู้ประกอบการ 90% ประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเข้าสู่ระดับปกติ ในช่วงกลางปี 2566 หรืออาจจะนานกว่านั้น
อย่างไรก็ดีได้มีข้อเสนอต่อภาครัฐดังนี้
1.ภาครัฐต้องมีมาตรการเยียวยานายจ้างช่วยจ่ายค่าเช่า และค่าแรงพนักงาน 50% เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
2.ภาครัฐต้องช่วยผู้ประกอบการด้วยการลดค่าสาธารณูปโภค 50% เป็นเวลา 6 เดือน
3.ภาครัฐต้องเร่งสถาบันการเงินอนุมัติเงินกู้ Soft Loan ให้ผู้ประกอบการที่ยื่นขอเงินกู้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วภายใน 30 วัน (ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้เพียง 10% ของจำนวนที่ยื่นขอสินเชื่อไปแล้วกว่า 3 หมื่นราย) หากการอนุมัติยังล่าช้า จะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเลิกกิจการกว่าแสนรายอย่างแน่นอน
4.ขอให้พักชำระหนี้และหยุดคิดดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้ปัจจุบันกับสถาบันการเงิน
โดยทั้ง 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐนี้ ทางสมาคมฯ ขอให้ภาครัฐพิจารณาและให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะภาคค้าปลีกและบริการกำลังทรุดหนัก และมีแนวโน้มที่อาจจะต้องปิดกิจการอีกกว่าแสนราย ซึ่งจะกระทบการเลิกจ้างงานกว่าล้านคน รัฐบาลควรเร่งเรียกความเชื่อมั่นกลับมาโดยเร็วที่สุด
