ประกาศเป็นที่แน่ชัดกับการขยายเวลาในการล็อกดาวน์พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม ) หลังจากที่รอลุ้นกันมาระยะหนึ่งว่า จะมีการขยายเวลาออกไปอีกหรือไม่ เพราะจะหมดเวลาในการควบคุมวันที่ 2 สิงหาคม 2564 โดยการประกาศครั้งนี้ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” (โควิด - 19) หรือ ศบค. เห็นชอบยกระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม )จาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด โดยเพิ่ม จ.กาญจนบุรี จ.ตาก จ.นครนายก จ.นครราชสีมา จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ปราจีนบุรี จ.เพชรบุรี จ.เพชรบูรณ์ จ.ระยอง จ.ราชบุรี จ.ลพบุรี จ.สิงห์บุรี จ.สมุทรสงคราม จ.สระบุรี จ.สุพรรณบุรี และ จ.อ่างทอง ทั้งนี้พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามออกนอกเคหสถานเวลา 21.00-04.00 น. งดให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน ห้ามบริโภคในร้าน ให้ขายแบบนำกลับไปบริโภคที่อื่น เปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้านส่วนการขายอาหารในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ให้เปิดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มผ่านการให้บริการแบบเดลิเวอรี่ เป็นต้น จึงเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดอีกครั้งหนึ่งของรัฐบาล ในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังจากที่ตลอดระยะเวลาในการประกาศล็อกดาวน์ครั้งที่ผ่านมา ไม่สามารถควบคุมการขยายตัวของผู้ติดเชื้อให้ลดลงได้ โดยมีตัวเลขของผู้ติดเชื้อเกือบ 20,000 คน ต่อวัน และขยายพื้นที่คัสเตอร์ไปยังจังหวัดต่างๆ เกือบทั่วประเทศ และจากผลของการขยายล็อกดาวน์ในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ซึ่ง “นายสนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยมีความเป็นห่วงสถานการณ์ควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งภาครัฐได้ล็อกดาวน์ออกไปอีก 14 วัน ย่อมมีผลกระทบหนักอยู่แล้ว โดยล่าสุดหอการค้าประเมินความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจเบื้องต้น คาดว่า จะเพิ่มจากเดิมที่ประมาณไว้ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อวัน เป็นวันละ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อวัน ถ้าคำนวณผลกระทบ 1 เดือน ก็จะประมาณ 90,000-120,000 ล้านบาท เพิ่มเติมจากผลกระทบเดิม ดังนั้นการเยียวยาเท่าที่ออกมาก่อนหน้านี้คงไม่พอ ทั้งนี้เพื่อให้การล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น คนลดการเคลื่อนย้ายจริง ต้องมีมาตรการช่วยลดค่าใช้จ่ายและเสริมรายได้ในช่วงนี้ เงินกู้ที่เตรียมไว้ 500,000 ล้านบาท จำเป็นต้องนำมาเร่งใช้ในช่วงนี้ หรือภายในไตรมาส 3 และหากไม่พอรัฐบาลก็สามารถกู้เพิ่มเติมได้ เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลมีแผนจะกู้เพิ่ม 7 แสนล้านบาท แต่กู้เพิ่มล่าสุด 5 แสนล้านบาท ก็ยังมีกรอบที่จะดำเนินการเพิ่ม ขณะที่ “นายเวทิต โชควัฒนา” กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภครายใหญ่ กล่าวว่า การขยายเวลาการล็อกดาวน์ออกไปอีกจะทำให้สถานการณ์แย่อยู่แล้ว ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก ทั้งความเป็นอยู่ของผู้คน เศรษฐกิจ กำลังซื้อ แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องทำ เพราะวันนี้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทางออกคือ รัฐบาลต้องเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด วัคซีนมาเร็วเท่าไหร่ คนยิ่งได้ฉีดเร็วเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดการระบาดและการเสียชีวิต สำหรับสหพัฒน์เองอาจจะได้รับกระทบไม่มากนัก เนื่องจากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ธุรกิจที่หนักมากคือ ผู้ประกอบการในภาคบริการ ร้านอาหาร ร้านนวดร้านสปา ธุรกิจท่องเที่ยว ที่หลาย ๆ คนอยากกลับมาเปิดเร็ว ๆ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะการกระจายวัคซีนยังไม่ครอบคลุม และปัญหาที่ตามมาคือ แรงงาน ผู้คนตกงาน ไม่มีเงิน ยิ่งล็อกดาวน์นานเท่าไหร่ เงินก็เริ่มหมด ถ้าสายป่านยาวไม่พอล่มสลายแน่ ๆ ดังนั้นภาครัฐต้องหามาตรการเยียวยา เช่นเดียวกับ “นางฐนิวรรณ กุลมงคล” นายกสมาคมภัตตาคารไทย บอกว่า มาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลกำหนด 14 วัน อาจจะไม่เพียงพอในการที่จะควบคุมการระบาดของโควิดที่กำลังรุนแรงในขณะนี้ โดยส่วนตัวมองว่าอาจจะต้องขยายเวลาต่อเนื่องไปจนถึงเดือนตุลาคม เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ แน่นอนว่า สำหรับธุรกิจร้านอาหารก็จะได้รับผลกระทบมาต่อเนื่องยาวนานมากขึ้น ในนามของสมาคม นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐช่วยเยียวยาในส่วนค่าน้ำ ค่าไฟ และการลดหย่อนภาษี เพื่อพยุงผู้ประกอบการ ส่วน “นายศุภวุฒิ สายเชื้อ” ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า หากรัฐบาลแก้ปัญหาโควิดไม่ทัน ก็จะลามสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยภาคการผลิตจะหยุดชะงักมากขึ้น และหากลามถึงการส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวเดียวจะน่าห่วงมาก และหากผลิตไม่ได้เศรษฐกิจไม่โต คนขาดรายได้ คนไม่มีเงินไปจ่ายหนี้แบงก์ ผลกระทบจะลามถึงสถาบันการเงินในที่สุด "เราอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ เพราะรอบนี้กระทบเศรษฐกิจจริง มีคนล้มตาย และเจ็บป่วย ต่างจากวิกฤติปี 2540 ที่กระทบภาคการเงินและคนรวยเท่านั้น" การขยายเวลา “ล็อคดาวน์” ครั้งนี้ จึงเป็นแรงเสียดทานที่วัดดวงรัฐบาล “ลุงตู่” หรือจะเป็นการนับถอยหลังอายุรัฐบาลแล้ว!?!