บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น) มาต่อกันตอนที่ 2 แต่มีประเด็นมากมายที่จะกล่าว ขอจำกัดเพียงบางประเด็นในบางแง่มุมและด้วยข้อจำกัดของหน้ากระดาษ จากประเด็นโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (โควิด-19) ลามไปประเด็นการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขอยกความเห็นสุดๆ มาวิพากษ์เน้นมิติในบริบทของท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นมีภารกิจหน้าที่หลากหลาย อาทิเช่น ในเรื่อง โรงพยาบาลสนาม (Field Hospitel), สถานที่กักกันเพื่อการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค LQ (Local Quarantine), ศูนย์แยกกักในชุมชน เพื่อลดการเคลื่อนย้ายเข้า-ออกในชุมชนนั้น หรือศูนย์พักคอยสำหรับผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว CI (Community Isolation), การกักตัวที่บ้านสำหรับผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว HI (Home Isolation), บุคลากรทำหน้าที่ด่านหน้าซึ่งต้องได้รับวัคซีนทุกคนโดยไม่ต้องมีข้อแม้, การเบิกงบประมาณสนับสนุนช่วยเหลือ การทำงาน การปฏิบัติ การประสานงานฯ เป็นต้น หน้าที่และอำนาจ อปท.ตามข้อกฎหมาย และระเบียบ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นั้น เป็นภัยจากโรคระบาด “ในคน” ที่แตกต่างจากภัยประเภทอื่นอีกด้วย ที่สามารถระบาดข้ามพื้นที่ของ อปท.ข้ามจังหวัด ข้ามพื้นที่ได้ทั่วโลก มีการถกเถียงเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ อปท.ในการป้องกันและควบคุมโรคนั้น ได้ตราบัญญัติไว้ในกฎหมายจัดตั้ง อปท. ระดับ พ.ร.บ. จึงมิใช่ว่าหน่วยงานใด หรือผู้ใดต้องมาตีความและให้ความเห็นหรือมีคำสั่งเพื่อ “หักล้างหรือยกเว้นบทบัญญัติตามกฎหมาย (พ.ร.บ.) ได้ ซึ่งอาจมีการฟ้องร้อง องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล และ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รวมถึง กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยาด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ อปท.ละเลยไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจดังกล่าว นี่คือประเด็น ตามกฎหมายหลัก พ.ร.บ.จัดตั้ง อ.ป.ท. คือ (1) การป้องกันและควบคุมโรค กรณี อบจ. มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการภายในเขต ตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาตรา 45(8) และ ตามข้อ 14 แห่งกฎกระทรวง พ.ศ.2541 และ พ.ร.บ.อบจ.ฯ มาตรา 45(9) และ ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 มาตรา 17(19) (2) การป้องกันและควบคุมโรค กรณี อบต. ตามอำนาจหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 67 (3) องค์การบริหารส่วนตำบลมีหน้าที่ในการป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ (4) ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 16 (19) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และเมืองพัทยามีอำนาจหน้าที่ในการสาธารณสุข การอนามัยครอบครัวและการรักษาพยาบาล (3) การป้องกันและควบคุมโรค กรณี หน้าที่ของเทศบาลต้องทำในเขต เพื่อป้องกันและระงับโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496 แก้ไขถึง(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562 มาตรา 50(4) และหน้าที่อาจจัดทำ ตามมาตรา 51(6)ในการ ให้มีและบำรุงสถานที่ทำการพิทักษ์รักษาคนเจ็บไข้ พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 16 (19) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และเมืองพัทยามีอำนาจหน้าที่ในการสาธารณสุข การอนามัยครอบครัวและการรักษาพยาบาล กฎหมายลำดับรอง หรืออนุบัญญัติเกี่ยวข้อง (1) ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2560 ข้อ 15 ข้อ 18 ฉบับที่ 2 พ.ศ.2561 ข้อ 6 (2) ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2547 ข้อ 91 ภายใต้บังคับข้อ 89 ในกรณีฉุกเฉินที่มีสาธารณภัยเกิดขึ้น (3) ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 79 วรรคสอง การซื้อหรือจ้างตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน นอกจากนี้ อปท.ยังสามารถอนุโลมใช้หลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่นการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น ระวังการเบิกจ่ายงบโควิดอาจซ้ำซ้อน ศูนย์พักคอย (CI) กับการตั้งโรงพยาบาลสนามในระดับพื้นที่ อบต. เทศบาล อบจ. ต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มอบหมายให้เปิดศูนย์ (อำนาจผู้ว่าฯ) อปท.ก็สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ในค่าใช้จ่ายหรือร่วมกันเบิกจ่ายในศูนย์นั้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่กักตัวสำหรับกลุ่มเสี่ยงด้วย จะต้องได้รับมอบหมายจาก ผู้ว่าราชการจังหวัดให้เปิดศูนย์ก่อนจะดำเนินการ อปท.จึงจะดำเนินการเบิกจ่ายได้ ตามหนังสือสั่งการ ซักซ้อมแนวทางปฏิบัติอย่างน้อยหนังสือ 4 ฉบับที่ใช้ถ้อยคำเดียวกัน สาระสำคัญว่า ถ้าจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ในระดับพื้นที่ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ มุ่งใช้เงินงบประมาณ สปสช. เป็นสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงการเบิกจ่ายซ้ำซ้อน ผู้ป่วยที่ผ่านเข้าระบบการรักษาผู้ป่วยโควิดที่มากักและรักษาตัวที่บ้าน (HI) หรือเข้าศูนย์พักคอย (CI) โรงพยาบาลจะเคลมสิทธิงบจัดบริการสาธารณสุข ในค่ารักษาและอื่นที่เกี่ยวข้องจาก สปสช.ได้ทั้งหมด (100%) ดังนั้น นอกจากการจัดเตรียมสถานที่ฯ ค่าอื่นๆ รพ.จะดำเนินการเองทั้งหมด อปท.จึงเบิกค่าอาหารคนป่วย ของใช้ส่วนตัว ยาและเวชเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยาไม่ได้ เพราะ ท้องถิ่นหลายแห่งไม่มีหน่วยบริการสาธารณสุข จะเป็นการเบิกจ่ายที่ซ้ำซ้อนกับโรงพยาบาลที่เคลมค่าใช้จ่ายตรงนี้จาก สปสช.แล้ว ยกเว้น ทางโรงพยาบาลให้ อปท.จ่ายค่าอาหารคนป่วยได้คนละ 200 บาท/คน/วัน เป็นต้น ฉะนั้น แม้จะมีหนังสือสั่งการในการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อโควิดแล้วก็ตาม การให้ตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ได้ย่อมมีค่าใช้จ่ายมาก และเมื่อสถานการณ์โรคโควิดผ่อนคลายซาลง แม้อาจจะอีกหลายปี ก็อาจกลายเป็นเผือกร้อนแก่ชาวท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะการหาผลงานของหน่วยตรวจสอบจากความผิดพลาดบกพร่อง รวมทั้งการทุจริตและหรือการไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนราชการของ อปท. อย่างไรก็ตาม อย่าชะล่าใจว่าตาม พ.ร.บ. จัดตั้งฯ ที่แก้ไขใหม่ ได้บัญญัติ กำหนดให้ความคุ้มครองการจ่ายเงินที่เทศบาลได้จ่ายไปแล้วก่อนวันที่ระเบียบในเรื่องนั้นใช้บังคับก็ได้ แต่ให้คุ้มครองได้เฉพาะที่ได้จ่ายไปโดยสุจริตและเป็นไปตามหนังสือสั่งการหรือหนังสือกำหนดแนวทางปฏิบัติของกระทรวงมหาดไทยที่ออกก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ เช่นได้แก่ มาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาล (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2562 ดังนั้น ในกรณีถูกมอบหมายและเราจ่ายโดยมีหนังสือแจ้งมา “มีคำสั่ง ประกาศหรือหนังสือแจ้งให้ดำเนินการ” ก็สามารถเบิกจ่ายได้ทุกกรณี หากถูกทักท้วงเมื่อใดก็สามารถยก พ.ร.บ. จัดตั้งฯ เป็นข้อต่อสู้ สตง. ที่เรียกเงินคืนได้ การแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อโควิดอย่าโฟกัสผิดจุด โรคระบาด (Outbreak/Epidemic) ทำให้เกิดวัคซีน และวัคซีนก็เป็นต้นเหตุของการระบาดของโรค เพราะวัคซีนผลิตขายเชิงพาณิชย์ เป็นธุรกิจมีผลประโยชน์ เจ้าของผู้ผลิตวัคซีนจึงชอบที่มีคนติดเชื้อมาก เพราะจะขายได้ การกลายพันธุ์ของเชื้อ (Mutation) ไม่ว่ากรณีใดๆ ทำให้ต้องมีวัคซีนตัวใหม่ขึ้นเรื่อยๆ จนตามไม่ทัน การผลิตวัคซีนใหม่ๆ ที่อ้างประสิทธิภาพดีกว่ามีผลในการเกทับกันเรื่องคุณภาพวัคซีน แม้ว่าวัคซีนจะมิใช่ยารักษา แต่ “วัคซีนทุกยี่ห้อทำให้กันตาย” ได้ ฉะนั้น การฉีดวัคซีนมิใช่การรักษา เพียงแต่เป็นการป้องกัน หรือหากมีการติดโรคก็จะทำให้อาการไม่รุนแรง วัคซีนไม่ใช่สิ่งวิเศษ ที่แก้ปัญหาได้หมด เพราะฉีดวัคซีนแล้ว หากภูมิคุ้มกันลดลงตามประสิทธิภาพตามระยะเวลา โอกาสติดเชื้อได้อีก วัคซีนเป็นการเร่งให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) โดยเร็ว โดยไม่ปล่อยให้เชื้อโรคระบาดไปตามธรรมชาติซึ่งจะใช้ระยะเวลาที่ยาวนานกว่า และเกิดความสูญเสียมากกว่า เช่น ในช่วงแรกของการระบาด มีคนตายเป็นจำนวนมากที่ประเทศอิตาลี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เพราะ เป็นโรคติดเชื้อ “อุบัติใหม่” (Emerging Infectious Diseases) ที่ยังไม่มียารักษา และยังไม่มีวัคซีน ในภาวะสถานการณ์ที่ยังไม่มีความแน่นอนในการบริหารจัดการป้องกันและควบคุมโรคเช่นนี้ วิธีการระมัดระวังป้องกันตัวเองกัน ดีที่สุด หาความรู้ หาข้อมูล เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ และในภาวะเช่นนี้ ให้หวังพึ่งตนเองไว้ก่อน อย่าหวังพึ่งใคร นี่ไม่ใช่ เฟคนิวส์ เพราะไม่ได้ทำให้ใครหวาดกลัว ที่จะต้องถูกดำเนินคดี และน่าเสียดาย ที่เขาเพิ่งกำลังจะทำการแก้ไขปมปัญหาที่เกิดแล้ว เพราะตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากโฟกัสผิดจุดจึงไม่ได้แก้ปัญหาแต่อย่างใด เมื่อทุกคนโฟกัสมุ่งเป้าไปที่วัคซีน (Vaccines) จึงตกเป็นเหยื่อของคนขายวัคซีน เดินตามเกมส์เจ้าของวัคซีน มันจึงล้มเหลวในการป้องกันโรคโควิด ซ้ำยังเกิดปัญหาตามมามากมาย ทั้งความขัดแย้งในสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และระบบการสาธารณสุขล่ม มีข้อเสนอในช่วงที่มีปัญหาข้อจำกัดในการกระจาย จัดสรรวัคซีนที่ล่าช้า ไม่ทั่วถึง รวมถึงการบริหารจัดการที่ผิดพลาดอื่น ลองเปลี่ยนไปโฟกัสใหม่ที่ “การควบคุมป้องกันตนเอง แบบไม่ต้องรอวัคซีน” ได้แก่ (1) การจำกัดวงของโรค รัฐทุ่มงบประมาณในการป้องกันคนปลอดโรคให้ห่างแหล่งโรค จำกัดการทำกิจกรรมกลุ่ม และระดมเร่งค้นหาผู้ติดเชื้อ การรักษาคนติดเชื้อ ให้หายเป็นพื้นที่ๆ ไป ทั้งนี้ต้องยอมรับข้อมูลที่เป็นจริง อย่าปิดบังจำนวนข้อมูล สถานการณ์ก็จะลดการระบาด แต่ยังไม่เปิดประเทศ (2) หยุดนิ่งพื้นที่การระบาด โดยอัดเงินงบประมาณช่วยเหลือลงไปเฉพาะแห่ง ติดเชื้อพบเชื้อที่หมู่บ้านใด ไปรักษาในบ้านนั้น ให้มันจบตรงนั้น ใช้ “การแพทย์ทางเลือก” (Alternative Medical) เช่น การแพทย์แผนไทย (Traditional Thai medicine) เพราะโควิดยังไม่มียารักษา เร่งรักษาด้วยสมุนไพรไทยที่ทดลองแล้วเห็นๆ ว่าได้ผล (3) สำหรับเรื่องวัคซีนที่ยังมีข้อจำกัด เพราะมีน้อย หรือ หายังไม่ได้ เน้นหาวัคซีนดีรีบเอามาฉีดให้แก่แพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าเสียก่อนโดยเร็ว ประเด็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออก ในที่นี้หมายถึงการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จรวบอำนาจตามสไตล์ทหาร โดยเฉพาะความคิดเห็นและการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ “โควิด-19” ปกติการนำเสนอข่าวหรือความคิดเห็นใด หากทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ต้องมีคำว่า "เป็นเท็จ" ด้วย จึงจะเข้าองค์ประกอบแห่งความผิด แต่ประกาศข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ข้อ 1 ประกอบ ข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 27 ข้อ 11 (มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน) นักกฎหมายสงสัยว่าผู้ร่างประกาศฯ จงใจตัดคำว่า "เป็นเท็จ" ออก นั่นหมายความว่า แม้เป็นเรื่องจริงแต่หากทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวก็ผิดได้ด้วย เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น (Freedom of Expression) เป็นสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 34 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้...” ฉะนั้น ข้อกำหนดนี้จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะปิดหูปิดตาปิดปากประชาชน มันน้องๆ มาตรา 44 ทีเดียว “เป็นเผด็จการหางโผล่” นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เป็นตำแหน่งที่ถือเป็น “บุคคลสาธารณะ” (Public figure) มีค่าตอบแทนเงินเดือน และมีอำนาจบริหารใช้จ่ายงบประมาณที่มาจากเงินภาษีของคนทั้งประเทศ ดังนั้น ประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินงบประมาณ ย่อมมีอำนาจวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนเสนอแนะ รวมทั้งสะท้อนความจริงที่เขาได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลได้ หากประชาชนเห็นว่า มีการบริหารจัดการแบบผิดพลาดล้มเหลวฯ รวมทั้งบริหารแบบแย่ เช่น การแสวงประโยชน์หรือมีทับซ้อนในผลประโยชน์ไม่โปร่งใสใดๆ จากวัคซีนบางยี่ห้อ โดยเอาชีวิตคนไทยไปเสี่ยง ทั้งที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 47 วรรคสาม บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” ประชาชนจึงด่ารัฐบาลและรัฐมนตรีได้ ที่สำคัญคือ นักการเมืองเป็นผู้อาสาเข้าไปทำงานรับใช้ประชาชนเอง เป็นบุคคลสาธารณะ หากทนต่อคำด่าว่าติเตียนไม่ได้ ก็ต้องลาออกไป มิใช่การใช้วิธีออกกฎหมายเพื่อปิดปากประชาชนเช่นนี้ นี่เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลที่มิได้มาจากประชาชนที่แท้จริง คน อปท.เหนื่อยมาก กับเรื่องค่อนข้างไร้สาระนานา วอนขออำนาจรัฐอย่าลืมคนท้องถิ่นเพราะ เขาเหล่านั้นเป็น “กองหน้า-ด่านหน้า” ในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิดเช่นกัน