ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล ชีวิตสาวไม่ได้แก้ด้วยใส่ตะกร้าล้างน้ำ อาจจะต้องเททิ้งแล้วหาข้าวของใส่เข้าไปใหม่ ตรุษจีนปีนั้นนวลอนงค์หายไปหลายวัน ด้านหน้าบ้านเช่าตรงรั้วข้างในที่เป็นห้องน้ำ มีที่เหลืออยู่สัก 2 ตารางเมตร อาแปะเอาเป็ดมาเลี้ยงไว้ 5 ตัว ตั้งแต่ก่อนวันลอยกระทงปีกลาย พอถึงตรุษจีนก็ตัวอวบอ้วนได้ขนาด ผมกลับมาจากโรงเรียนในวันนั้น ก็มีจานเป็ดต้มกับขนมเข่งขนมเทียนมาวางไว้ที่หัวกระได มองไปที่คอกเป็ดก็ไม่เห็นเป็ดเหล่านั้นเสียแล้ว อาหมวยบอกว่าเป็นถูกจับเชือดแล้วต้มตั้งแต่เมื่อคืน ตอนเช้าที่ผมไปโรงเรียน อาแปะก็เอาเป็ดและของไหว้ต่าง ๆ มาตั้งโต๊ะตามพิธี และตามประเพณีนั้นต้องแจกจ่ายแบ่งปันให้ญาติและมิตรสหายมาร่วมดื่มกิน อาแปะมองว่าครอบครัวของน้าผมซึ่งมาเช่าห้องอยู่ที่นี่ ก็เหมือนกับว่าเป็นญาติอีกด้วยเช่นกัน จึงได้รับเป็ดต้ม(ที่จริงมีหมู ปลา และไก่ อีกด้วย) และขนมที่ผ่านพิธีไหว้แล้วดังกล่าว ผมกินไม่ลงเพราะเคยมองเห็นเป็ดพวกนี้อยู่ทุกวัน แต่ก็เทของกินทั้งหมดใส่จานที่บ้าน แล้วเอาจานไปคืนอาแปะ จึงถามอาแปะว่านวลอนงค์ไปไหน อาแปะบอกว่าตรุษจีนโรงน้ำชาปิด “อี” (คนจีนมักจะเรียกผู้หญิงว่า “อี” ที่แปลเป็นไทยว่า “เธอ” นั่นเอง) คงไปเยี่ยมญาติพี่น้อง อีอาจจะมีเชื้อจีนด้วยก็ได้ จนถึงวันที่นวลอนงค์กลับมา ผมเห็นอาหมวยไปคุยอยู่กับนวลอนงค์อยู่เป็นนาน วันรุ่งขึ้นผมจึงได้ไปถามอาหมวยว่านวลอนงค์ไปไหนมา อาหมวยบอกว่าเธอไปเยี่ยมลูก ลูกสาวของเธอกำลังขึ้นชั้นมัธยม เธอเห่อลูกสาวมาก ซื้อเสื้อผ้าข้าวของไปให้มากมาย รวมถึงเสื้อผ้าฝากคุณยายที่เลี้ยงลูกสาวให้เธอนั้นด้วย จากวันนั้นก็ดูเหมือนว่านวลอนงค์ดูจะมีชีวิตชีวามากขึ้น บางวันผมได้มีโอกาสคุยกับเธอ เธอก็ถามถึงการเรียนของผมซึ่งพอดีผมก็เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นเหมือนกัน เธอเอาสิ่งที่ผมพูดไปเขียนจดหมายถึงลูกสาว บอกให้ลูกสาวตั้งใจเรียน อ่านหนังสือเยอะ ๆ และให้ขยันเขียนจดหมายมาพูดคุยกับเธอบ่อย ๆ ปีต่อมาผมขึ้นชั้นมัธยมปลาย แม่มาบอกน้าว่าได้ไปเช่าบ้านอยู่พระโขนง พอมีที่ทางกว้างขวาง จะมาเอาผมกลับไปอยู่ด้วย เพราะผมก็เป็นหนุ่มมากขึ้น ต้องมีที่ทางเป็นส่วนตัว ผมไม่ได้บอกลาใคร ๆ จนหลายปีต่อมา ที่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ได้แวะไปไหว้พระที่วัดเล่งเน่ยยี่ พอเดินออกมาจากวัด มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นคนขายขนมใส่หม้อต้มร้อน ๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้นึกถึงอาอี๊กับอาหมวยขึ้นมาทันที จึงเดินไปตรงถนนเจริญกรุง ตรงที่ใกล้ ๆ กับแยกที่ตัดกับถนนราชวงศ์ ซึ่งเป็นทำเลที่ตั้งหาบของอาอี๊กับอาหมวย พบแต่ผู้หญิงผิวขาวแต่งตัวสวย ๆ แต่งหน้าแต่งตาออกเข้ม ๆ ตอนแรกว่าจะเดินผ่านไป แต่พอหยุดดูใกล้ ๆ ก็พอนึกเค้าหน้าออกว่า นี่คืออาหมวยนี่นา จึงเข้าไปทักและถามถึงอาแปะกับอาอี๊ อาหมวยบอกว่าอาแปะเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน ส่วนอาอี๊ก็ไม่ค่อยแข็งแรง ต้องไปอาศัยอยู่กับพี่ชายอีกคน เพราะอาอี๊ไม่ได้แต่งงาน ตอนนี้ที่บ้านเช่าแถวสลัมตรงประตูน้ำ ริมคลองแสนแสบนั้น กำลังถูกรื้อเพื่อทำศูนย์การค้าใหญ่ ตอนนี้อาหมวยก็ออกมาอยู่กับแฟน แฟนอาหมวยเป็นลูกจ้างร้านขายห่านพะโล้แถวท่าดินแดง ฝั่งตรงข้ามท่าน้ำราชวงศ์ เจอกันเมื่อสามปีก่อน ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่อยู่กินกันไปก่อน พอผมถามว่าอยู่อย่างนี้มีความสุขดีหรือ อาหมวยก็บอกว่า รำคาญจะตายไป แฟนของอาหมวยหึงหวงอาหมวยมาก นี่พอขายของหมดตอนบ่ายก็ต้องรีบกลับที่พัก ที่ไปเช่าอยู่แถวคลองสาน และคิดจะเปิดร้านแถวนั้น กำลังเล็ง ๆ ห้องแถวเพื่อจะเซ้งไว้ทำร้านข้าวต้ม แฟนของอาหมวยแม้จะเป็นแค่ลูกจ้างแต่ก็ขยันมาก เช้าทำร้านห่านพะโล้ เย็นก็ทำร้านข้าวต้มอีกที่หนึ่ง ส่วนขนมของอาหมวยก็ขายดีเป็นปกติ จึงพอมีเงินทองที่ทั้งคู่เก็บออมกันมานาน ผมแสดงความยินดีกับอาหมวย ก่อนที่จะร่ำลาและเดินจากไป พอดีนึกถึงนวลอนงค์ขึ้นมา จึงถามอาหมวยว่า แล้วตอนนี้นวลอนงค์เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน อาหมวยตอบว่า ตอนนี้ไปทำงานที่บาร์ญี่ปุ่นแถวซอยธนิยะ ถนนสีลม แต่ยกระดับทำหน้าที่เป็น “มาม่าซัง” คอยดูแลเด็ก ๆ สอนเด็ก ๆ ให้ดูแลแขกดี ๆ เมื่อเดือนก่อนก็ยังแวะมาคุยกับอาหมวยอยู่นาน บอกว่าสบายมากขึ้น ปีหน้าลูกสาวก็จะเข้ามหาวิทยาลัย พอลูกสาวจบมหาวิทยาลัยก็คงจะเลิกทำอาชีพสาวบาร์นี้แล้ว บางทีถ้าเก็บเงินได้มากพออาจจะไปซื้อบ้านอยู่ชานเมือง ไปรับลูกสาวมาอยู่ด้วยและเปลี่ยนอาชีพ อยากทำขนมขาย และได้แอบไปเรียนทำขนมเค้กขนมอบในเวลากลางวัน จนพอทำได้บ้างหลายอย่างแล้ว แถมยังชมอาหมวยด้วยว่า แค่ขายขนมต้มร้อน ๆ ก็ตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้ว แถมยังได้แฟนดีมาก ๆ อีกด้วย ซึ่งอาหมวยก็ชมนวลอนงค์กลับไปว่า ก็ได้นวลอนงค์นี่แหละชี้แนะสั่งสอน ทำให้สามารถประคับประคองตัวเองรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้ถึงทุกวันนี้ ช่วงที่ผมมาทำงานอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ ระหว่าง พ.ศ. 2531 - 2533 กำลังอยู่ในวันหนุ่มฉกรรจ์ บ่อยครั้งที่ได้ใช้ชีวิตเสรีอย่างเต็มที่ บางครั้งก็ได้โฉบเฉี่ยวไปยังสถานเริงรมย์ต่าง ๆ อยู่บ้าง ที่ดัง ๆ ในสมัยนั้นก็คือย่านพัฒนพงศ์บนถนนสีลม รวมถึงซอยธนิยะที่อยู่ติดกันนั้นด้วย วันหนึ่งได้ไปเฮฮาแถวบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บาร์ญี่ปุ่น เพราะบาร์ญี่ปุ่นจะรับแต่แขกญี่ปุ่นหรือคนไทยที่ไปกับญี่ปุ่นเท่านั้น แต่พอจะเข้าไปก็มองเห็นบาร์ญี่ปุ่นที่อาหมวยเคยบอกว่านวลอนงค์ทำงานอยู่นั้นอยู่เยื้อง ๆ กัน จึงเดินเข้าไปถาม “ดอร์แมน” หรือคนเฝ้าประตูของบาร์นั้นว่า มาม่าซังที่ชื่อนวลอนงค์ยังทำงานอยู่ที่นี่หรือไม่ ดอร์แมนวัยกลางคนคนนั้นตอบว่าไม่รู้จักนวลอนงค์ แต่พอผมอธิบายรูปร่างหน้าตาของนวลอนงค์ให้แกรู้ แกก็ตอบออกมาในทันทีว่า อ๋อ พี่จีน่านะหรือ เห็นว่านายห้างญี่ปุ่นคนหนึ่งรับไปเลี้ยงดูเมื่อสักสองสามปีมาแล้ว แต่นายจ้างนั้นบินไป ๆ มา ๆ ไม่ได้อยู่ที่ไทย เพียงแต่ซื้อบ้านจัดสรรหลังหนึ่งแถวบางนาไว้ให้พี่จีน่าอยู่ เด็ก ๆ แถวนี้รู้จักพี่จีน่าทุกคน แกใจดีมาก ใครเจ็บไข้ไม่สบายก็พาไปรักษาตัว โรคเอดส์มันเยอะ ตอนนี้แขกก็ระวังตัวมากขึ้น แต่ได้พี่จีน่านี่แหละที่ทำให้บาร์แถวนี้อยู่ได้ เพราะแกให้สาธารณสุขมาตรวจโรคให้พนักงานเป็นประจำทุกเดือน จนแขกต่างประเทศไว้วางใจ และยังมีลูกค้าประจำมาเที่ยวอยู่เรื่อย ๆ เวลาที่ผมผ่านหน้าวัดปทุมวนาราม และเซ็นทรัลเวิล์ด ถนนเจริญกรุงที่เยาวราช และซอยธนิยะ ถนนสีลม ผมก็มักจะนึกถึงนวลอนงค์อยู่เสมอ หวังว่าเธอคงจะปลอดภัยและมีความสุขดี เพราะแม้ชีวิตอาจจะผิดพลาด ซึ่งทุกคนก็ต้องเคยมีความผิดพลาดอยู่หลายครั้งในชีวิต แต่ก็ควรจะให้โอกาสได้แก้ตัวหรือแก้ไขชีวิตนั้นให้ดีขึ้นบ้าง เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง ก็ต้องรักทุก ๆ คน และมอบสิ่งดี ๆ ให้เขาบ้าง