เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนถนนสายบ้านนาป่า บริเวณหมู่ 12 บ้านปากน้ำ ต.นาป่า อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ คนร้ายให้การรับสารภาพอ้างไม่มีเงินใช้จ่ายและอยากได้โทรศัพท์แบบคนอื่น ได้มีเพจเฟซบุ๊กนำไปโพสต์แชร์ภาพและข้อความ จนมีผู้เข้ามาให้ความสนใจเป็นจำนวนมากถึงเรื่องความปลอดภัย แม้จะอยู่ในห้วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2564 พ.ต.อ.รณฤทธิ์ สุธาพจน์ ผกก.สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ภิมาลย์ รอง ผกก.สส.สภ.เมืองฯ พ.ต.ต.อดิศร สมานทร สว.สส.สภ.เมืองฯ พ.ต.ต.กฤษฎดา พลายละหาร สว.สส.สภ.เมืองฯ ร่วมกันนำกำลังตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองเพชรบูรณ์ จับกุมตัวนายอัครเดช นิ่มทอง หรือ นายหรั่ง อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32/1 หมู่ที่ 2 ตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้ต้องหาตระเวนกระชากสร้อยคอทองคำของนางเกี้ยว ชื่นชม ผู้เสียหาย
ผู้ต้องหาตระเวนกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ 110 ไอ สีดำ-แดง หมายเลขทะเบียน 1 กข 1861 เพชรบูรณ์ สวมเสื้อโปโลแขนสั้นสีเขียวลายน้ำเงินคาดเหลือง กางเกงขายาวสีเทา สวมหมวกกันน็อคเต็มใบสีดำ ที่สวมใส่วันก่อเหตุโดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 32/1 ม.2 ตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเพชรบูรณ์
สำหรับการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากนางเกี้ยว ชื่นชม อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 264 หมู่ 2 ต.นาป่า อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ว่าถูกคนร้ายรายนี้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าว มาก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์เป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 1 บาท โดยคนร้ายได้สร้อยทองไป 1 ใน 3 สร้อยทอง 1 บาท มีความยาวประมาณ 16 เซนติเมตร น้ำหนัก 1.8 กรัม จากนั้นตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ลงพื้นที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดโดยคนร้ายได้มีการขับตระเวนวนดูเหยื่อที่เป็นผู้หญิงก่อนลงมือก่อเหตุ กระทั่งทราบรูปพรรณคนร้ายจนสามารถจับกุมตัวคนร้ายพร้อมยึดของกลางดังกล่าว
จากการสอบสวน นายอัครเดชให้การยอมรับสารภาพว่า ตนเป็นผู้ก่อเหตุกระชากสร้อยดังกล่าวจริง โดยตนอาศัยอยู่กับยายเพียง 2 คน ไม่ได้ทำงานอะไรอยากมีเงินใช้และอยากได้โทรศัพท์แบบคนอื่นเขาโดยลงมือก่อเหตุไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งตนนำทรัพย์สินที่ได้จากการก่อเหตุไปขายที่ร้านทองแห่งหนึ่งกลางเมืองเพชรบูรณ์ได้เงินจำนวน 2,500 บาท ก่อนนำเงินที่ได้มาไปซื้อโทรศัพท์ใหม่และก่อเหตุครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ไม่พบประวัติคดีอาชญากรแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อต่อคำให้การ ต้องทำการสอบสวนขยายผลอีกครั้ง เบื้องต้นแจ้งข้อหา “วิ่งราวทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป