"ศบค."แถลงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 17,970 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 178 ราย เผยขอประเมินผล"ล็อกดาวน์"ถึง 18 ส.ค. ก่อนไปต่อ 31 ส.ค.หรือไม่ ด้าน"ไฟเซอร์-โมเดอร์นา"โขกราคาวัคซีนโควิด ในข้อตกลงฉบับใหม่กับ"อียู" ส่วน"จีน"ผวาโควิดเดลตา หลังติดเชื้อชุมชนลามแล้ว 14 มณฑล จนทางการท้องถิ่นบางแห่งสั่งล็อกดาวน์ ขณะที่ ไวรัสมรณะยังอาละวาดทั่วโลกไม่หยุด พ่นพิษเหยื่อป่วยทะลุ 199 ล้านคน เมื่อวันที่ 2 ส.ค.64 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 17,970 ราย ประกอบด้วย ผู้ติดเชื้อในประเทศจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 13,567 ราย จากการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 4,217 ราย และจากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 175 ราย ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 11 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 178 ราย เพศชาย 94 ราย เพศหญิง 84 ราย อายุเฉลี่ย 17-94 ปี (ค่ากลาง 66 ปี) โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว สำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงล่าสุดอยู่ที่ 633,284 ราย รักษาตัวอยู่ 208,875 ราย ส่วนผู้ป่วยรักษาหายแล้ว 419,241 ราย เพิ่มขึ้น 13,919 ราย ยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 5,168 ราย ด้าน พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือศบค. กล่าวถึงการขยายล็อคดาวน์จนถึงสิ้นเดือนส.ค. ว่า จะมีการพิจารณาผลติดตาม 2 สัปดาห์ก่อน จนถึงวันที่ 18 ส.ค.ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น น่าเป็นห่วงอาจจะยืดไปจนถึง 31 ส.ค. จึงขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อาจจะมีการตั้งด่านติดตามมาตรการให้เข้มข้นถ้าประชาชนไม่มีความจำเป็น ขอความร่วมมือใน 14 วันนี้ ขอช่วยกันงดการเดินทาง และถ้ายังไม่จำเป็นต้องงดไปเลย ดังนั้นถ้าดีขึ้นอาจจะผ่อนคลายมาตรการได้ทำกิจกรรมาม่กขึ้น เมื่อถามว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่ทางสหรัฐฯให้กับประเทศจริงเท่าไหน พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ที่ส่งมาเมื่อวันที่ 30 ส.ค.จำนวน 1.54 ล้านโดส แต่ขั้นตอนการเจรจาและรัฐบาลรับจริง 1,530,450 โดส ตัวเลขอาจจะต่างกันบ้างอแต่ยืนยันรับจริงตรงกัน ส่วนการจัดสรร บุคลากรทางการแพทย์กระตุ้นภูมิเข็ม 3 กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง ผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยงโรคประจำตัวรวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และจัดสรรให้คนชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศ ทั้งคนสูงอยุ คนที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ ด้วย รวมทั้งคนที่เดินทางไปต่างประเทศ นอกจากนี้จะพาต่างชาติเกือบ 200 คน ทั้งนี้ก่อนหน้านี้เราได้ฉีดให้ชาวต่างชาติ ตั้งแต่เดือนพ.ค.จำนวน 2 แสนคน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า บริษัท ไฟเซอร์ อิงค์ และบริษัท โมเดอร์นา อิงค์ สองธุรกิจด้านเวชภัณฑ์รายใหญ่ในประเทศสหรัฐฯ ได้ปรับราคาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น ในการทำข้อตกลงฉบับใหม่กับสหภาพยุโรป หรืออียู รายงานข่าวแจ้งว่า ในเอกสารสัญญาการทำข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า ราคาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของบริษัท ไฟเซอร์ อิงค์ ได้ปรับขึ้นมาเป็น 19.50 ยูโร (คิดเป็นเงินไทยราว 762 บาท) ต่อโดส จากเดิมราคาโดสละ 15.50 ยูโร (คิดเป็นเงินไทยราว 606 บาท) ส่วนราคาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดของบริษัท โมเดอร์นา อิงค์ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวระบุว่า ราคาได้ปรับเป็น 25.50 ยูโร (คิดเป็นเงินไทยราว 997 บาท) ต่อโดส เพิ่มขึ้นจากเดิมที่โดสละ 19 ยูโร (คิดเป็นเงินไทยราว 743 บาท) ทั้งนี้ ราคาวัคซีนของบริษัท โมเดอร์นา อิงค์ ที่ปรับขึ้นข้างต้น ยังต่ำกว่าราคาที่ทำข้อตกลงฉบับล่าสุดกับอียู ที่โดสละ 28.50 ยูโ (คิดเป็นเงินไทยราว 1,114 บาท) เนื่องจากทางอียูได้สั่งซื้อวัคซีนเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ทางบริษัท ไฟเซอร์ อิงค์ ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อกรณีการทำข้อตกลงจัดซื้อวัคซีนจากทางคณะกรรมาธิการยุโรปของอียู ด้าน คณะกรรมการด้านสุขภาพแห่งชาติจีน เปิดเผยสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา โดยระบุว่า พบการติดเชื้อในชุมชนได้ลุกลามไปแล้วในพื้นที่ 14 มณฑล ตลอดช่วง 10 วันที่ผ่านมา จำนวนรวมแล้วกว่า 1,000 ราย ในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดระลอกใหม่นี้ ล่าสุด ในสถานการณ์แพร่ระบาดรอบ 24 ชั่วโมงของวันจันทร์นี้ ได้พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่อีกจำนวน 98 ราย ส่งผลให้จีนมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 93,103 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 4,636 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 87,376 ราย รายงานข่วแจ้งว่า ทางการท้องถิ่นของจีนหลายแห่งเริ่มบังคับใช้มาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ เช่น ที่เมืองเซียะเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ได้กำหนดให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน โดยทางการได้จัดส่งอาหารและสิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นไปให้ ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ทั่วโลกยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวน 199,024,295 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 4,240,415 ราย และผู้ป่วยที่รักษามีจำนวนสะสม 179,633,962 ราย โดยสหรัฐฯ พบผู้ป่วยติดเชื้อสะสมมากที่สุดในโลกจำนวน 35,768,924 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 629,380 ราย มากเป็นอันดับ 1 ของโลกเช่นกัน และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 29,673,290 ราย