"รอง ผบ.ตร."สั่งตั้งทีมเทคโนโลยี่ เร่งไล่ล่าสืบสวนแกะรอย แก๊ง"แฮกเกอร์" เจาะระบบค่ายมือถือ ขโมยคิวจองวัคซีน"สถานีบางซื่อ" ไปเร่ขายหัวละ 500-1000 บาท คาดได้ตัวเร็วๆนี้
จากกรณี พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการศูนย์วัคซีนกลางบางซื่อ แจ้งความเอาผิดกับกลุ่มบุคคลที่ทำการทุจริต ในการลงทะเบียนนัดเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทางศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ตรวจพบความผิดปกติว่ามีการนัดฉีดวัคซีนเนื่องจาก ตั้งแต่เปิดให้ Walk in ทางศูนย์ไม่ได้ทำการนัด กลุ่มที่เป็นองค์กร แต่พบว่ามีการนัดพิเศษเข้ามาจำนวนมาก จึงได้ยกเลิกนัด และมีการสอบถามข้อมูลจากกลุ่มดังกล่าว ทำให้ทราบว่ามีผู้กระทำผิดและผู้ซื้อสิทธิ์ โดยสุจริต โดยคิดค่าหัวละ 500-1,000 บาท ซึ่งกรณีดังกล่าวมีอาสาสมัครต้องสงสัย11 คน จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับอาสาต้องสงสัยแล้ว ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 ก.ค.64 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เหตุการณ์มิจฉาชีพแฮกเครือข่ายมือถือ "แฮกเกอร์"เพื่อจองคิวฉีดวัคซีน ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ "สถานีบางซื่อ" และมีการนำไปขายต่อนั้น เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของ บก.รฟ. ซึ่งอยู่ในสังกัด บช.ก.
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวพบว่า กลุ่มมิจฉาชีพ "แฮกเกอร์"รายนี้ ได้มีการใช้เทคโนโลยี เข้ามาเกี่ยวข้องในการก่อเหตุด้วย ดังนั้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจาก กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ทั้งหมดเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้
"เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ ที่กระทบต่อประชาชน โดยได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.)ว่า หลังจากทราบเรื่องนี้แล้ว ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนของ กองบังคับการตำรวจปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตั้งเป็นคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้นมาดำเนินการ เพื่อให้กรณีดังกล่าว เกิดความกระจ่างโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพ หรือ "แฮกเกอร์"ที่ลงมือก่อเหตุ ว่าเป็นกลุ่มไหน คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน จะทราบตัวผู้กระทำผิดทั้งหมด ซึ่งเมื่อทราบแล้ว ก็จะนำตัวมาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ ผู้บังคับการตำรวจรถไฟ (ผบก.รฟ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำความผิดในการแฮกข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เพื่อลงทะเบียนจองคิวเข้ามาฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อว่า ขณะนี้ พนักงานสอบสวนเข้าสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องแล้ว 7 ปาก ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมการแพทย์ พนักงานบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์ โดยจะเข้าสอบสวนปากคำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกเพิ่มเติม
พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวอีกว่า การสืบสวนสอบสวนมีความซับซ้อนจึงเตรียมตั้งคณะพนักงานสอบสวนโดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.ชาญณรงค์ ขนาดนิด รอง ผบก.รฟ.ประสานการทำงานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.)และกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.)เพื่อหาแนวทางการสืบสวนและต้องตรวจข้อมูลความผิดปกติในยูสเซอร์ รวมทั้งติดตามหาผู้กระทำความผิด โดยเบื้องต้นหากพิสูจน์หาต้นตอผู้กระทำความผิดได้ก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ก่อน
พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้รับทราบข้อมูลจากการสังเกตุพบว่า บริเวณประตู 4 ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อมีผู้นัดหมายผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ดังกล่าวมายืนรอแน่นบริเวณประตู แต่เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปทำให้ผู้ที่จองผ่านเครือข่ายฯต่างแยกย้ายหลบหนีไปส่วนใหญ่พบว่าเป็นพนักงานบริษัท และพนักงานโรงงาน ซึ่งสันนิษฐานว่ามีหลายกลุ่มที่ร่วมกระทำความผิด ทั้งนี้ผู้ที่ให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน หรือ ศูนย์ฉีดวัคซีนบางซื่อ จะกันไว้เป็นพยาน
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ทางด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ได้สั่งเร่งรัดให้ดำเนินการ จึงได้ประสานทางพนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจรถไฟ(บก.รฟ.)