"กนก" แนะรัฐเร่งทบทวนนโยบายใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด หลังครม.มติหนุน แต่สธ.ให้ใช้ Favipiravir ชี้โจทย์ใหญ่รัฐบาลต้องเร่งวิจัยศักยภาพ-ส่งเสริมการปลูก เชื่อช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.นายกนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาฟ้าทะลายโจรขาดแคลน เพราะความต้องการสูงในขณะนี้ว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนว่าจะกำหนดนโยบายและวางอนาคตของสมุนไพรไทยอย่างไร เพราะในขณะนี้ ฟ้าทะลายโจรมีผลการวิจัยโดยแพทย์แผนปัจจุบันยืนยันแล้วว่าสามารถช่วยรักษาโรคไวรัสโควิด 19 ได้ และสามารถบอกได้จากการทดลองเชิงปฏิบัติกับผู้ป่วยแล้วว่าจำนวนหรือปริมาณการรับประทาน สารออกฤทธิ์ในฟ้าทะลายโจร คือ แอนโดรกราฟโฟไลด์ (Andrographolide) ต่อวัน และสามารถเปรียบเทียบผลกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ทานฟ้าทะลายโจร แล้วพบว่าฟ้าทะลายโจรมีความปลอดภัยสูงต่อผู้ป่วย มีสิทธิภาพ ต่อการรักษาดี อีกทั้งหาได้ง่ายและราคาถูกสำหรับคนไทย เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นพืชที่ปลูกได้ในทุกพื้นที่ ของประเทศ การที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการใช้ฟ้าทะลายโจร เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 เพื่อการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่ยังไม่มีอาการโรค โดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ยืนยันถึงประสิทธิภาพของการรักษาโรคโควิด 19 ของฟ้าทะลายโจร แต่ถ้าเข้าไปดูแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อวันที่ 21 ก.ค.64 ของกระทรวงสาธารณสุข แนะนำเรื่องการรักษา Covid-19 กรณีผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง ให้ใช้ยา Favipiravir เท่านั้น ไม่ปรากฏฟ้าทะลายโจรอยู่ในแนวเวชปฏิบัติของกระทรวง นายกนก กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่ายังมีความย้อนแย้งอยู่ในส่วนนโยบายการรักษา จึงต้องเร่งทบทวนกำหนดนโยบายที่ชัดเจน ทำไมประกาศฉบับหลังสุดคือ 21 กรกฎาคม 2564 จึงไม่มีฟ้าทะลายโจรในประกาศของแนวทางเวชปฏิบัติ ซึ่งส่งผลให้แพทย์ในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขและแพทย์ทั่วไปไม่กล้าที่จะใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยโควิด 19 อีกทั้งสปสช.ก็ไม่อาจจะนำฟ้าทะลายโจรรวมเข้าเป็นค่าใช้จ่ายการรักษาตามระบบ ประกันสุขภาพด้วย ผลที่ตามมาคือการใช้ยา Favipiravir ราคาแพงกว่าฟ้าทะลายโจรเป็นร้อยเท่า จะทำให้ค่ายารักษาโรคโควิด 19 สูงขึ้นอย่างมาก และถ้าองค์การเภสัชกรรมผลิตยา Favipiravir ไม่ทันกับความต้องการ อาจต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศที่ทำให้เสียทั้งเงินและเวลามากขึ้น คำถามที่กระทรวงสาธารณสุขต้องตอบประชาชนคือ ทำไมจึงไม่บรรจุฟ้าทะลายโจรลงในแนวทางเวชปฏิบัติฯ เพื่อให้เกิดการใช้ฟ้าทะลายโจรอย่างถูกต้อง กว้างขวาง และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยจำนวนมหาศาลที่กำลังรอเข้าโรงพยาบาลสนาม “ฟ้าทะลายโจรมีสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคโควิด 19 มาก แต่การจะนำ ฟ้าทะลายโจรมาเป็นยารักษาโรคที่ได้มาตรฐานอย.นั้น เกี่ยวข้องกับกระบวนการอื่น ๆ อีกมาก ตั้งแต่การปลูกฟ้าทะลายโจรที่ปลอดภัย การเก็บเกี่ยวที่รักษาคุณภาพสารออกฤทธิ์ การแปรรูปเป็นแคปซูลที่ได้มาตรฐานจนถึงการใช้ที่ถูกต้อง รวมไปถึงการทำให้ฟ้าทะลายโจรเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่เกษตรกรได้รับส่วนแบ่งจากราคาปลีกของฟ้าทะลายโจรอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่มีเพียงบริษัทยาเท่านั้นที่ได้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ และเกษตรกรได้เพียงราคาฟ้าทะลายโจรกิโลกรัมละ 100 บาทเท่านั้น ประเด็นเหล่านี้เกี่ยวข้องกับงานวิจัยหลายด้านที่ต้องทำเพิ่ม เกี่ยวข้องกับการวางโครงสร้างพื้นฐานของการผลิตและแปรรูปสมุนไพร ของประเทศ จนถึงเกี่ยวกับการยอมรับยาสมุนไพรของชาติและประชาชนโดยรวม โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องคิดไปข้างหน้า เพื่อใช้ศักยภาพของฟ้าทะลายโจรให้เกิดประโยชน์ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ในยุคโควิด-19 อย่างไร แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร โครงการสกลนครโมเดลที่ผมและทีมงานจะเดินหน้าขับเคลื่อน ฟ้าทะลายโจรเป็นหัวขบวนของการใช้สมุนไพรเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศต่อไป” นายกนก กล่าว