ตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเวลานี้ยอดตัวเลขไม่ต่ำกว่าหมื่นรายต่อวัน แทบจะเห็นเป็นตัวเลขปกติ เนื่องจากเป็นการตรวจเชิงลึกที่ต้องการเข้าถึงตัวเลขของผู้ที่ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด รวมทั้งมีการระดมที่จะฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้มากที่สุดเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยรัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ออกไปจนถึงเดือน ส.ค. โดยหวังที่จะเห็นตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ลดลง
แต่เท่าที่เห็น ณ เวลานี้ ยังไม่มีท่าทีลดลง!
ต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศ โดย “นายเดชรัตน์ สุขกำเนิด” นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ประเมินเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปีนี้ จะติดลบร้อยละ 6-8 และทั้งปีมีโอกาสที่ GDP โดยรวมจะติดลบ หากรัฐบาลขยายมาตรการล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ออกไปจนถึงเดือน ส.ค. หรือมีการขยายจำนวนจังหวัดล็อกดาวน์เพิ่มเติม ส่วนจะยกระดับไปสู่การปิดเมืองเหมือนเช่นอู่ฮั่นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจหนักกว่าที่ผ่านมาแน่นอน และอาจทำให้ภาคการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องจักรตัวเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในขณะนี้ต้องหยุดชะงัก
ดังนั้นรัฐบาลจึงควรเร่งจัดหาวัคซีนให้แรงงานภาคอุตสาหกรรมโดยเร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนการติดเชื้อในกลุ่มคลัสเตอร์โรงงาน พร้อมสนับสนุนเงินทุนในการดำเนินนโยบาย Bubble & Seal เพื่อหยุดยั้งการระบาด
เช่นเดียวกับ “นายสุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของไทยยังมีอัตราสูงระดับกว่า 10,000 คนต่อวัน จึงยังไม่มั่นใจว่าการล็อกดาวน์ 13 จังหวัด จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดระลอก 3ได้หรือไม่ ซึ่งหากตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ลดลงไปสู่ระดับต่ำได้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การล็อกดาวน์อาจไม่ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเพราะจำเป็นต้องทำควบคู่กับ 2 เรื่อง คือ การหาผู้ติดเชื้ออย่างเข้มข้น และการมีวัคซีนในการระดมฉีดให้กับประชาชนโดยเร็ว
“ภาวะที่ยากลำบากของภาคธุรกิจ และประชาชนในขณะนี้ถือว่าเป็นผลกระทบที่ไม่เคยเจอมาก่อน หลายบริษัทต้องหยุดดำเนินกิจการทั้งถาวร และชั่วคราว ก็คงไม่สามารถจ่ายภาษี โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตรงตามเวลา หรือบางบริษัทก็จ่ายภาษีไม่ได้ อีกทั้งยังมองไม่เห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน เพราะไทยมีแค่การส่งออกที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในขณะนี้”
ขณะที่ “นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา” ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ภาคส่งออกนับเป็นภาคหลักเดียวที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งที่ต้องระวังขณะนี้ คือต้องไม่ให้การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ลามไปยังโรงงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบได้ และต้องยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยงการส่งออกไทยที่มีอยู่ อาทิ การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) หรือค่าระวางเรือ (เฟด) ที่สูงขึ้นมาก จนทำให้สินค้าเกษตรแปรรูปของไทยต้นทุนสูงเพิ่มขึ้น
ด้าน “ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรี” ออกมาปรับลดคาดการณ์จีดีพี ปี 2564 ลง 0.8% เหลือขยายตัว 1.2% จากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด ท่ามกลางมาตรการช่วยเหลือที่ค่อนข้างจำกัด โดยมีผลเชิงบวกอยู่บ้างจากภาคส่งออกที่เติบโตแข็งแกร่ง
ทั้งนี้มาจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในประเทศทวีเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา กอปรกับความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน และการฉีดวัคซีนที่ยังมีความล่าช้า ชี้ว่าการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มข้นอาจดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม จึงคาดว่าผลกระทบเชิงลบโดยรวมที่เกิดจากการหยุดชะงักของอุปทาน การลดลงของอุปสงค์ และกิจกรรมการท่องเที่ยวอ่อนแอลง ฉุดการเติบโตของ GDP ของไทยในปีนี้ลดลง 2.0%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกที่แข็งแกร่งจะช่วยหนุนการเติบโตของจีดีพีปีนี้บวกขึ้น 0.6% สำหรับการออกมาตรการเยียวยาจากภาครัฐที่คาดว่าจะมีเพิ่มเติมวงเงิน 1 แสนล้านบาทในปีนี้ น่าจะสามารถช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ได้อีก 0.6% แต่มาตรการทั้งทางการคลัง และการเงินอาจมีผลบวกค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับขนาดของผลกระทบจากการระบาดรอบนี้ และขนาดของมาตรการที่ดำเนินการในอดีตที่ผ่านมา ผลกระทบสุทธิต่อการเติบโตของจีดีพีของไทยรวมแล้วจะลดลงจากคาดการณ์เดิม 0.8% ทำให้ประมาณการอัตราการขยายของเศรษฐกิจในปี 2564 เหลือเติบโตเพียง 1.2% จากเดิมครั้งก่อนคาดไว้ที่ 2.0%
จึงเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันว่า “มาตรการล็อกดาวน์” ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร!?!
ตัวเลขผู้ติดเชื้อ – ตาย ลดลงอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ !?!
หรือแนวทางที่รัฐบาลคุมเข้มจะสูญปล่าว!!!
รอนับถอยหลังได้เลย!!!