การ “ปิดพื้นที่” หรือ “ล็อกดาวน์” ถือเป็นมาตรการของแสลง ที่ทางการของหลายๆ ประเทศ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แล้ว ก็ไม่อยากดำเนินมาตรการนี้ หากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์
ทั้งนี้ ก็เพราะมาตรการล็อกดาวน์ ทำเศรษฐกิจก ตกสะเก็ด ทันทีที่ประเทศนั้นๆ ดำเนินมาตรการ ซึ่งกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวก็มิใช่เรื่องง่ายๆ ในท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงรุนแรงอย่างที่เป็นอยู่
ด้วยประการฉะนี้ ทางการของหลายประเทศจึงดำเนินมาตรการอื่นๆ แทน สำหรับ การจัดการรับมือกับโรคระบาดที่กำลังอาละวาด ซึ่งที่นับว่าเป็นมาตรการต่อสู้กับโรคระบาดได้ดี ก็เห็นจะเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโรคร้าย
จะเรียกเป็นการ “ตัดไฟเสียแต่ต้นลม” ตามสำนวนไทย หรือจะเรียกว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” ก็ได้ สำหรับมาตรการฉีดวัคซีนนี้
อย่างไรก็ดี มาตการฉีดวัคซีนข้างต้น ถ้าจะให้สัมฤทธิ์ผลด้านการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ทางการก็จะต้องฉีดในลักษณะ “ปูพรม” หรือ “ระดม” ฉีดวัคซีนอย่างขนานใหญ่ โดยให้มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบจำนวนเข็มตามที่กำหนดไว้ ซึ่งวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดส่วนใหญ่ ก็ 2 โดส หรือ 2 เข็ม ให้ได้ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรของประเทศ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายให้อยู่หมัด
ทว่า การที่จะปูพรมระดมฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนในลักษณะข้างต้นได้ ทางการก็จะต้องมีจำนวนวัคซีนอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก จนเพียงพอ หรือต้องเกินพอ แบบเผื่อเหลือเผื่อขาด เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศ ซึ่งในบางประเทศถึงขนาดจัดซื้อเพื่อสำรองวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดไว้เป็นจำนวนมากถึง 2 เท่าของจำนวนพลเมืองของประเทศก็มี ได้แก่ เกาหลีใต้ เป็นกรณีตัวอย่าง
ล่าสุด ก็เป็นรายของประเทศเวียดนาม ที่จัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดขนานต่างๆ อย่างขนานใหญ่ เพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคโควิดที่หวนกลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่ จนส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ และผู้ป่วยที่เสียชีวิตใหม่รายวันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ที่จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อใหม่รายวันทะลุกว่า 2,000 คน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เวียดนามตัวเลขเหยื่อป่วยติดเชื้อไวรัสโควิดจำนวนข้างต้น ถึงขนาดมีการถกเถียงกันในเรื่องที่ว่าจะดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมโรคระบาดกันอีกครั้งหรือไม่
ปรากฏว่า ทางการเวียดนาม รัฐบาลฮานอย ตัดสินเลือกที่จะใช้วิธีปูพรมระดมฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดให้แก่ประชาชน แทนมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งทางการเวียดนามเล็งเห็นแล้วว่า การฉีดวัคซีนแก่ประชาชนอย่างขนานใหญ่น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีกว่า
ว่าแล้ว รัฐบาลฮานอย ก็จัดซื้อวัคซีนขนานต่างๆ เป็นจำนวนมาก อย่างชนิดที่เรียกกันภาษาบ้านๆ “ช้อปกระจาย” สำหรับการจัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด เพื่อนำไปฉีดให้แก่ประชาชน
โดยวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดขนานต่างๆ ที่ทางการเวียดนามทุ่มงบประมาณจัดซื้ออย่างขนานใหญ่ ได้แก่
วัคซีนขนาน “สปุตนิกวี” ซึ่งวิจัยพัฒนาโดยสถาบันกามาเลยา ประเทศรัสเซีย ซึ่งรัฐบาลฮานอยจัดซื้อจำนวน 40 ล้านโดส โดยทางการเวียดนามอาศัยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทางการรัสเซีย เจรจาขอซื้อมาได้
วัคซีนขนาน “โควาซิน” ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือขนาน “แอสตราเซเนกา” นั่นเอง ซึ่งผลิตโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย ประเทศอินเดีย โดยรัฐบาลฮานอย เจรจาขอซื้อจากรัฐบาลนิวเดลี ของอินเดีย มาได้ 15 ล้านโดส
พร้อมกันนี้ ทางการเวียดนาม ยังบรรลุข้อตกลงจัดซื้อวัคซีนขนานแอสตราเซเนกาที่ผลิตในอินเดีย กับรัฐบาลนิวเดลี เพื่อให้ส่งมอบในอนาคต แบบสร้างความมั่นคงทางวัคซีนแก่เวียดนามอีกจำนวนมากกว่า 120 ล้านโดสอีกต่างหากด้วย
นอกจากนี้ ทางการเวียดนามยังได้รับแจกวัคซีนขนาน “โมเดอร์นา” จากสหรัฐอเมริกา จำนวน 2 ล้านโดส ผ่านโครงการโคแวกซ์ขององค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ (ฮู) อีกด้วย โดยการจัดส่งได้ผ่านพ้นเรียบร้อยไปแล้ว
ใช่แต่เท่านั้น เพื่อรับประกันในเรื่องความมั่นคงทางวัคซีน แบบสร้างความมั่นใจให้แก่เวียดนามได้ว่า จะไม่ขาดแคลนวัคซีน ทางการเวียดนาม ก็ยังได้วิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ขนานของตนเองอีกด้วย มีชื่อว่า “นาโนโคแวกซ์” ดำเนินการวิจัยพัฒนาโดย “นาโนเจน ฟาร์มาซูติคอล ไบโอเทคโนโลยี เจเอสซี” บริษัทเวชภัณฑ์ของเวียดนาม ในนครโฮจิมินห์ ซึ่งคาดว่า การวิจัยพัฒนาจะแล้วเสร็จ และจะเปิดตัวเผยโฉมโลดแล่นในแวดวงวัคซีนโควิดในราวเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้
ทางการเวียดนามได้ตั้งเป้าด้วยว่า จะระดมปูพรมฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดแก่ประชาชนให้ได้ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากรราว 97 ล้านคน ภายในเดือนมีนาคม 2022 (พ.ศ. 2565)
ทั้งนี้ ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดในเวียดนาม มีประชาชนผ่านรับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 8.7 ล้านคน จากการฉีดตามศูนย์ฉีดวัคซีนที่มีจำนวน 18,000 แห่ง ทั่วประเทศ
โดยการทุ่มงบฯ จัดซื้อวัคซีนอย่างขนานใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ของเวียดนามข้างต้น เพราะประเทศแห่งนี้เคยได้รับบทเรียนมาแล้วในการดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ที่ปรากฏว่า ทำให้ประชาชนราว 12.8 ล้านคนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และชาวเวียดนามราว 5.57 ล้านคน ต้องกลายเป็นคนว่างงาน ตลอดจนอีก 4.1 ล้านคนต้องหยุดดำเนินธุรกิจชั่วคราว รวมถึงทำให้พลเมืองหลายล้านมีรายได้ลดลง ซึ่งทางการเวียดนาม รัฐบาลฮานอย ไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นอีก