ความเคลื่อนไหวการเก็บตัวฝึกซ้อมของ 2 นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ชุดสู้ศึกโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทั้ง "เทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จอมเตะเบอร์ 1 ของโลก ในรุ่น 49 กก. และ "จูเนียร์" รามณรงค์ เสวกวิหารี นักเทควันโดหนุ่มรุ่น 58 กก. เข้าสู่วันที่หกของการฝึกซ้อม โดยช่วงเช้า "เสี่ยบิ๊ก" ธนฑิตย์ รักตะบุตร ผู้จัดการทีม พร้อมด้วย โค้ช เช ยอง ซอก ได้นำนักกีฬาไปชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขัน 1 วัน ซึ่งผลปรากฏว่า ทั้ง เทนนิส และ จูเนียร์ ชั่งผ่านพิกัดของตัวเองสบาย โดย พาณิภัค หนัก 48.7 กก. และรามณรงค์ 57.5 กก. ซึ่งทั้งคู่ต่ำกว่าพิกัดเล็กน้อย โค้ชเช ยอง ซอก กล่าวว่า วันนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว การชั่งน้ำหนักผ่านไปด้วยดี นักกีฬาสามารถกินอาหารได้เต็มที่ เหลือแค่เพียงการแข่งขัน ซึ่งในช่วงบ่ายเราได้หาที่ฝึกซ้อมเบาๆ เพราะที่เมกุโระ ยิมเนเซี่ยมเซ็นเตอร์ ปิด เนื่องจากฝ่ายจัดต้องการให้นักกีฬาไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ทำให้เรามาฝึกซ้อมที่ฟิตเนสตรงข้ามที่พักนักกีฬา ซึ่งไม่ได้ฝึกหนักอะไรมาก เพียงแค่วอร์มร่างกาย และทบทวนเทคนิคต่างๆก่อนการแข่งขัน จากนั้นหลังจากทานอาหารเย็นจะให้นักกีฬามาคุยกันอีกครั้งเพื่อรวมแรงใจก้าวไปให้ถึงเป้าหมาย โค้ชเช กล่าวต่ออีกว่า สำหรับสายการแข่งขัน เรารู้มาก่อนแล้วว่านักกีฬาไทยทั้ง 2 รุ่น จะอยู่สายบนหรือสายล่าง เพราะโอลิมปิก ครั้งนี้ จัดตามแร็งกิ้งโลก แต่ในโอลิมปิกเกมส์ นอกจาก 6 อันดับแรกของโลกแล้ว ที่เหลือทุกคนตัดตัวมาจากทวีปต่าง ๆ ซึ่งเป็นคนเก่งทั้งนั้น โดยในรุ่นของ จูเนียร์ รอบแรก เจอ ออสเตรเลีย ฝีมือไม่ธรรมดา เคยแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 3 ครั้งรวมครั้งนี้ โดยมีข้อดีคือรูปร่างสูงถึง 191 ซม.เทียบกับ จูเนียร์ ต่างกันมาก แต่ถึงอย่างไร น้ำหนักเราเท่ากัน เราศึกษาเขามาว่าเล่นอย่างไรถึงจะดีที่สุด และสิ่งที่สำคัญ จูเนียร์ ถ้ามั่นใจก็มีโอกาส เพราะเทคนิค ความคล่องตัวเราดีกว่าเขา ส่วนน้องเทนนิส เรามีแร็งกิ้งเป็นเบอร์ 1 ซึ่งในรุ่นนี้ แร็งกิ้งอันดับ 16 กับ 17 ต้องเตะกันก่อน โดยคู่นี้ใครชนะจะเจอกับเรา ซึ่งเราก็ต้องดูระหว่าง อิสราเอล กับ เปอร์โตริโก้ ตนมองว่าน่าจะเป็นอิสราเอล โดยได้ศึกษาการเล่นของเขามาน่าจะชนะได้ ส่วนรอบสอง เราน่าจะเจอเวียดนาม ซึ่งเขาเป็นเจ้าของเหรียญทองชิงแชมป์เอเชีย เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเคยเจอกันมาแล้วก็เอาชนะมาได้ ไม่น่ามีปัญหา ส่วนรอบรองชนะเลิศ โอกาสจะได้เจอระหว่าง ไทเป กับเกาหลีใต้ โดยมองว่า โอกาสชนะให้ไทเป 60% เกาหลี 40% ซึ่งถ้าเป็นใครเราก็ต้องศึกษาอีกทีหนึ่ง โดยตอนนี้เรื่องเทคนิค ความพร้อม100% จิตใจเเต็มที่ ต้องดูว่าวันแข่งขันเป็นวันดี ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ ซึ่งตนพูดตลอดว่า ครั้งนี้อย่าคิดว่าเป็นโอลิมปิก ให้คิดว่าเป็นการแข่งกรังด์ปรีซ์ หรือเทสอีเวนต์ และยิ่งดีไม่มีคนดู เงียบ โดยบอกทั้งสองคนก็เข้าใจและดีขึ้น ผมเชื่อทั้ง 2 คน เต็มที่ ต่อข้อถามที่ว่า สื่อต่างชาติยกให้เกาหลีใต้ เป็นเต็งเหรียญทอง โค้ช เช กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราเคยเตะกันมา 4-5 ครั้ง เราชนะมาได้หมด แต่กีฬาต่อสู้ มีแพ้ มีชนะ ซึ่งสไตล์การต่อสู้เราดีกว่าเยอะจริง ๆ ส่วนตัวแล้วเป็นห่วงคือเจอไทเป เพราะเขาเป็นนักกีฬารุ่น 53 กก. เคยได้เหรียญทองแดง เอเชี่ยนเกมส์ เขาลดน้ำหนักลงมาแข่ง เราไม่เคยเจอ แต่ก็ยังมั่นใจ เรารอนานมาก รอ 1 ปีกว่า ขอให้คนไทยเชียร์กันดังๆ เราสู้ จะทำผลงานให้ดีที่สุด "เสี่ยบิ๊ก" ผู้จัดการทีมเทควันโดไทย กล่าวว่า มาถึงตรงนี้คงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว เราเก็บตัวฝึกซ้อมกันมานาน เพื่อโอลิมปิกเกมส์ ครั้งนี้ ที่ผ่านมา ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโด ทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ที่หนักมาก ทำให้ต้องเปลี่ยนที่ฝึกซ้อม นายกฯก็ลงทุนไปดูแลด้วยตัวเอง การเดินทางยังอัพที่นั่งบนเครื่องบินให้เป็นบิสเนสคลาส เพื่อลดความเสี่ยงติดโควิด ซึ่งทุกคนทำงานหนักเพื่อเป้าหมาย เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ที่เรารอคอย ผู้จัดการเทควันโดทีมชาติไทย กล่าวว่าต่อว่า ตอนกลับที่พักนักกีฬาเราได้รับพัสดุไปรษณีย์ส่งมาให้ จากนายกเทศมนตรี จังหวัด คิตะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจังหวัดนี้เราเคยมีแผนจะมาเก็บตัวฝึกซ้อมก่อนแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปีที่แล้วโดยเราได้ทำข้อตกลงร่วมกัน ทำให้ชาวจังหวัดคิตะคิวชู เตรียมให้การต้อนรับทีมเทควันโดไทย แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้เราต้องล้มเลิกแผนที่วางไว้ แต่ไม่น่าเชื่อ พัสดุที่เราได้รับ คือของขวัญ ที่เยาวชนจังหวัดคิตะคิวชู ทำด้วยมือตัวเองส่งมาให้พวกเรา ทั้งผ้าขนหนู ภาพการ์ตูนเหมือน เทนนิส, จูเนียร์ โค้ชเช และโค้ชชิต พร้อมด้วยการ์ดอวยพร ที่เขียนเป็นภาษาไทย ส่งมาเป็นกำลังใจให้ไทยแลนด์สู้ๆ ซึ่งทำให้พวกเรามีรอยยิ้มอย่างมีความสุขมากๆ เราประทับใจกับน้ำใจที่ท่านให้มา และขอขอบคุณชาวเมืองคิตะคิวชูทุกคน