เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 64 นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Suphachai Jaismut ระบุว่า
" ว่าด้วยเรื่อง COVAX วันนี้ขอยาวหน่อยนะครับ ค่อยๆอ่านแล้วคิดตาม แล้วจะเข้าใจ
วัคซีนไม่ใช่สินค้าทั่วไปที่จัดหาโดยง่าย ตลาดยังเป็นของผู้ขาย แม้กระทั่งโครงการCOVAXยังซัพพลายวัคซีนได้ไม่มากเท่าที่วางแผนไว้ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มีการกลายพันธุ์ สิ่งที่วางแผนไว้จึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและเจรจากับหลายฝ่ายตลอดเวลา แต่เราจะดำเนินการให้ได้วัคซีนมาถึงคนไทยมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้"
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้
ผมว่าประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะเรื่องCOVAXเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ สิ่งที่คิดว่ารู้ก็ล้วนแล้วแต่มาจากข่าวสารที่ส่งต่อกันทางโซเชียล จริงเท็จประการใดก็ไม่รู้แน่
แต่ถ้าจำกันได้ เรื่องนี้ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เคยแถลงข่าวไว้เมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ว่า
“การทำข้อตกลงจองวัคซีนโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการทำข้อตกลงผ่าน COVAX หรือการทำข้อตกลงโดยตรงกับผู้ผลิต จำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลและบริบทหลายๆ ด้านประกอบกัน เนื่องจากการตัดสินใจในการทำข้อตกลงจองวัคซีนในขณะนั้น เป็นความจริงที่ว่าวัคซีนโควิด-19 ของทุกบริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งสิ้น ยังไม่ทราบว่าวัคซีนชนิดใดจะประสบความสำเร็จ และยังไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนที่มากเพียงพอ เสียเงินค่าจองไปแล้วก็อาจไม่ได้รับวัคซีนหากการพัฒนาล้มเหลว การตัดสินใจทำข้อตกลงจึงอยู่บนพื้นฐานของการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงที่ประเทศจะได้รับหากจองวัคซีน และเมื่อพิจารณาเงื่อนไขการจองวัคซีนผ่าน COVAX พบว่า การจองจะต้องมีค่าธรรมเนียมดำเนินการโดยคิดเพิ่มจากราคาวัคซีน”
นพ.นครกล่าวด้วยว่า “การจองแบบเลือกผู้ผลิตไม่ได้มีค่าธรรมเนียม 1.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส การจองแบบเลือกผู้ผลิตได้คิดค่าจองเพิ่ม 3.5 ดอลลาร์ต่อโดส (รวมค่าธรรมเนียม 1.6 ดอลลาร์ต่อโดส และค่าประกันความเสี่ยง 0.4 ดอลลาร์ต่อโดส)
ทั้งนี้ แม้จะเลือกทำสัญญาจองซื้อแบบเลือกผู้ผลิตได้ แต่ไม่มีอิสระในการเลือกที่แท้จริง โดย COVAX จะเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้สองรอบ ในรอบแรก COVAX จะเสนอรายชื่อผู้ผลิตที่ COVAX มีข้อตกลงแล้วมาให้ ซึ่งไม่ใช่รายชื่อผู้ผลิตที่มีทั้งหมดในโลก หากผู้ซื้อไม่สนใจผู้ผลิตในรายการที่เสนอ จะต้องรอการประกาศตัวเลือกในรอบต่อไป ทำให้ได้วัคซีนช้าลง และหากเลือกผู้ผลิตที่มีชื่อในรายการ COVAX จะนำเงินที่ผู้ซื้อจ่ายไปจองวัคซีนกับผู้ผลิตก่อน แล้วผู้ซื้อจึงจะมีสิทธิ์เลือกในรอบที่สองว่าจะทำสัญญากับผู้ผลิตรายนั้นหรือไม่ ซึ่งถ้าตัดสินใจไม่ทำสัญญาไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่จ่ายไปแล้วทั้งหมด และไม่ได้เงินคืนแม้ว่าการเลิกสัญญาจะเกิดจากการพัฒนาวัคซีนไม่สำเร็จ
นอกจากนี้ การซื้อวัคซีนจะต้องซื้อตามราคาจริงจากผู้ผลิต โดยต้องยอมรับทุกเงื่อนไข ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าขนส่งวัคซีน ค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนวัคซีนในประเทศและภาษี เป็นต้น”
“การทำความตกลงซื้อวัคซีนโควิด-19 จากผู้ผลิตโดยตรง มีความยืดหยุ่นมากกว่า เราสามารถกำหนดจำนวนวัคซีนที่จะซื้อได้ สามารถต่อรองราคา หากซื้อเป็นจำนวนมาก ราคาก็ถูกลง และยังสามารถต่อรองเงื่อนไข ขอบเขตความรับผิดชอบได้ตามสมควร ทั้งนี้ การซื้อวัคซีนผ่าน COVAX ยังกำหนดให้ซื้อขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนประชากร หากต้องการวัคซีนรวดเร็ว ผู้ซื้อต้องยอมรับเงื่อนไขและความรับผิดชอบใดๆ ตามที่ผู้ผลิตเสนออีกด้วย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเจรจากับ COVAX อย่างต่อเนื่อง และหากมีการปรับเงื่อนไขรวมถึงข้อเสนอที่ประเทศจะได้ประโยชน์ ก็อาจมีการทำข้อตกลงผ่าน COVAX ได้” นพ.นครกล่าว
และเมื่อวานนี้ น.พ.นคร เปรมศรี ก็ได้แถลงข่าวว่า”สำหรับการดำเนินการในระยะถัดไปคือ การจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมทั้งของปี 2564 และปี 2565 โดยพิจารณาผู้ผลิตวัคซีนที่มีการพัฒนารุ่น 2 ที่ตอบสนองไวรัสกลายพันธุ์และจะเร่งเจรจา เพื่อให้ส่งมอบได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 จึงจำเป็นต้องจองล่วงหน้า ส่วนโครงการ COVAX ยังไม่มีการลงนามความร่วมมือ แต่เริ่มประสานกับองค์กรกาวี (GAVI) ในการขอเจรจาจัดหาวัคซีนร่วมกับโครงการ COVAX สำหรับปี 2565 เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับวัคซีนของปีหน้า เมื่อมีข้อสรุปเบื้องต้นที่ชัดเจนจะเสนอผ่านคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง”
จากกรณีดังกล่าวสิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ ณ สถานการณ์หนึ่งการตัดสินใจทำหรือไม่ทำเรื่องใดก็อยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์ขณะนั้น การเข้า COVAX หรือไม่เข้าก็อยู่หลักการเดียวกันนี้ ดังนั้นจึงควรจะให้ความเป็นธรรมให้กับการตัดสินใจของคนทำงาน
ประเด็น COVAX ที่นพ.นคร เสนอให้มีการเปลี่ยนแนวทาง จากไม่ร่วมในปีนี้ เป็นร่วมในปีหน้า ทุกวันนี้ ไทยยังอยู่ใน COVAX แต่ไม่ได้สั่งซื้อวัคซีนผ่าน COVAX ด้วยเหตุผลว่า ปีนี้ ผู้ผลิตวัคซีน ผลิตได้จำนวนจำกัด และจะส่งเข้า COVAX ได้ไม่มาก การที่ประเทศไทย ไปรอ COVAX จะได้วัคซีนช้ากว่าซื้อตรงจากผู้ผลิต ซึ่งเราต่อรองได้มากกว่า และมีโอกาสเจรจาได้ราคาที่ดีกว่า จะเห็นได้ว่าปีนี้ องค์การอนามัยโลก ยังไม่สามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอ เพราะประเทศร่ำรวยซื้อไปเก็บไว้จำนวนมาก ในขณะที่ประเทศยากจน ไม่มีวัคซีน
ขณะนี้ COVAXได้รับวัคซีน 135 ล้านโดส สำหรับ 136 ประเทศ (เฉลี่ย ประเทศละ 1 ล้านโดส)ดังนั้นต่อให้เราเข้าตั้งแต่ปีนี้ เราก็คงได้ไม่เกิน 1 ล้านโดสเท่านั้น แต่ปีหน้า ผู้ผลิตวัคซีนมีมากขึ้น จำนวนวัคซีนที่ผลิตได้มีมากขึ้น จะมีวัคซีนเข้าโครงการ COVAX มากขึ้น จึงอาจจะเป็นประโยชน์ที่เราจะเข้าร่วม COVAX และ ยังซื้อตรงจากผู้ผลิตด้วย การบริหารจัดการวัคซีนโควิด ต้องปรับไปตามสถานการณ์ ไม่สามารถกำหนดเป็นแนวทางตายตัวได้
ซึ่งการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจโดยปราศจากอคติ หากแต่ด้วยความเห็นใจคนทำงานที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย"