Food Tech หรือเทคโนโลยีอาหารถือเป็นการผลิตอาหารให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดช่วยลดปริมาณขยะและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต เทคโนโลยีอาหารยังมีส่วนผลักดันให้เกิด Future Food หรืออาหารแห่งอนาคตที่มีความสลับซับซ้อนในกระบวนการผลิต ซึ่งต้องใช้องค์ความรู้หลายแขนง รวมถึงต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย
วันนี้อาหารแห่งอนาคตได้รับการยอมรับและเริ่มเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากผู้บริโภคมีใส่ใจเรื่องสุขภาพ และเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น รวมถึงกระแสการรักษ์โลก ซึ่งตามแนวทางของสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม แบ่งอาหารแห่งอนาคตเป็น 4 ประเภท คือ 1) อาหารอินทรีย์ ได้จากผลิตผลทางการเกษตรที่ปลอดภัยจากสารเคมี อยู่ในรูปแบบของผักปลอดสารพิษ เนื้อสุกรที่เลี้ยงด้วยวีถีธรรมชาติ หรือนมพาสเจอร์ไรซ์ออร์แกนิก 2) อาหารเสริมสุขภาพหรืออาหารฟังก์ชัน จะให้คุณค่าทางอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น อาหารปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย อาหารชะลอการเสื่อมโทรมของอวัยวะ โดยจะเป็นอาหารที่เติมสารอาหารเข้าไป เช่น ซุปไก่สกัด ไข่ไก่ที่เพิ่มโอเมก้า 3 เป็นต้น 3) อาหารทางการแพทย์ เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยเฉพาะโรคหรือผู้ที่ไม่สามารถทานอาหารปกติได้ เช่น เจลลี่สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก 4) อาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ทางนวัตกรรม เช่น โปรตีนทางเลือกจากพืช และแมลง
อาหารแห่งอนาคตมีความโดดเด่นหลายอย่าง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ทำให้อุตสาหกรรมอาหารทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง รวมถึงกลุ่มสตาร์ทอัพ ให้ความสนใจและทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอาหาร หนึ่งในเทคโนโลยีที่นิยม คือ การแปรรูปวัตถุดิบการเกษตรเพื่อสร้างโปรตีนทางเลือกมี 2 ประเภท คือ 1) โปรตีนจากพืช (Plant-based Protein) การนำพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา เห็ดพ็อตโตเบลโล่ เห็ดแครง มาผ่านการวิจัยและพัฒนาให้มีรสชาติ เนื้อสัมผัส กลิ่นเหมือนโปรตีนมากที่สุดในระดับราคาเท่ากับเนื้อสัตว์ นิยมทำในรูปแบบเนื้อเบอร์เกอร์ 2) โปรตีนจากแมลง (Insect Proteins) อย่างการนำจิ้งหรีดมาผ่านการวิจัยและพัฒนาผลิตเป็นอาหารและวัตถุดิบหลักสำหรับอาหารเสริม เช่น เส้นพาสต้าโปรตีนเชค โปรตีนบาร์ เครื่องดื่ม ลูกอม ฯลฯ สำหรับประเทศไทยตลาดโปรตีนจากพืชมีมูลค่าตลาด 28,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเติบโตร้อยละ 10 ในปี 2567
การพัฒนาเทคโนโลยีอาหารจำเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมในการวิจัยและพัฒนาสูตรต่างๆ ในทุกกระบวนการจนไปสู่ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก ซึ่งการลงทุนด้านนี้สามารถรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอได้ ภายใต้ประเภทกิจการวิจัยและพัฒนาในกรณีที่มีการพัฒนาสูตรต่างๆ โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี โดยไม่กำหนดวงเงิน ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนา ฯลฯ และจะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% อีก 5 ปี หากตั้งอยู่ในเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับการส่งเสริมหรือเห็นชอบจากคณะกรรมการ
หรือ หากเป็นการผลิตอาหารแห่งอนาคตที่เกี่ยวข้องกับอาหารทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็ขอบีโอไอได้ภายใต้ประเภทกิจการอาหารทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือหน่วยงานอื่นที่เป็นมาตรฐานสากล
เหล่านี้เป็นตัวอย่างเบื้องต้น ซึ่งเชื่อได้ว่าการส่งเสริมของบีโอไอในกิจการกลุ่มนี้จะช่วยผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคต หรือ ซิลิคอน วัลเลย์อาหารแห่งอนาคต (Silicon Valley of Future Food) ได้ในไม่ช้า เพราะเรามีความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อความยั่งยืนของอาหาร