นักวิเคราะห์ซิตี้ แนะกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน และอสังหาริมทรัพย์ โดยให้น้ำหนักในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักรที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงแนะการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทโดยยังคงเน้นน้ำหนักการลงทุนในตราสารทุนหลากหลายภูมิภาค พร้อมกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา กองทุนรวมทั่วโลกที่เน้นการลงทุนแบบ ESG
ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจโลกครึ่งหลังปี 2564 จะมีการฟื้นตัวหลากหลายรูปแบบ เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงดำเนินอยู่ทั่วโลก โดยนักวิเคราะห์ซิตี้คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 5% ในปีนี้และขยายตัวที่ 4.5% ในปี 2565 โดยได้แรงหนุนจากภาคธุรกิจบางส่วนที่เริ่มกลับมาเปิดใหม่ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มากขึ้นในหลายประเทศ ตลอดจนภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวของภาคบริการในวงกว้าง ด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 6% ในส่วนของประเทศจีน คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 8%
ขณะที่ภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูงต่อเนื่อง แต่ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นแนะกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน และอสังหาริมทรัพย์ โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักร ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงแนะการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทโดยยังคงเน้นน้ำหนักการลงทุนในในตราสารทุนหลากหลายภูมิภาค พร้อมกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา กองทุนรวมทั่วโลกที่เน้นการลงทุนแบบ ESG อย่างไรก็ตามยังแนะนำให้นักลงทุนควรเฝ้าติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน และประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว
ทั้งนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ “Citigold Mid- Year Outlook 2021” แถลงข้อมูลทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนครึ่งหลังปี 2564 เมื่อเร็ว ๆ นี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th
นายซาเมียร์ เดชพานดิ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนระดับภูมิภาค ซิตี้แบงก์ เอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลาง กล่าวว่า แม้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์ซิตี้คาดการณ์ว่าภาพรวมระบบเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังปี 2564 แม้ว่ายังไม่สามารถกลับไปเท่าจุดก่อนที่มีการระบาดได้ แต่จะเป็นการฟื้นตัวหลากหลายรูปแบบในแต่ละภูมิภาค จากปัจจัยแรงหนุนจากภาคธุรกิจบางส่วนที่เริ่มกลับมาเปิดใหม่ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มากขึ้นในหลายประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังทั่วโลกที่มีประสิทธิภาพ ภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวของภาคบริการในวงกว้างมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยชีวิตผู้คนมากขึ้นอีกด้วย
โดยนักวิเคราะห์ซิตี้คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2564 จะขยายตัวที่ 5% และขยายตัวที่ 4.5% ในปี 2565 ด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 6% จากสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานที่ลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของประเทศจีน คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 8% จากการฟื้นตัวด้านการผลิต การบริโภค การเดินทางและการค้าภายในประเทศ ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะยังดำเนินนโยบายการเงินการคลังในระดับต่ำจนกว่าภาคธุรกิจจะกลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงปกติ
ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกที่นำโดยสหรัฐฯ และจีน เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงมูลค่าหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งระยะเวลาข้างหน้าต่อจากนี้จะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งนักวิเคราะห์ซิตี้พบว่ามีโอกาสในการลงทุนระยะสั้นในอุตสาหกรรมหลายประเภทที่จะได้รับประโยชน์จากการสิ้นสุดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 อีกทั้งการลงทุนระยะยาวในอีกหลายอุตสาหกรรมที่จะเร่งตัวขึ้น
อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดได้ เช่น ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – จีนที่อาจเลวร้ายลง เนื่องจากการแข่งขันทางการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศที่อาจมีนัยยะและส่งผลกระทบ ตลอดจนการโจมตีทางไซเบอร์บนโครงสร้างพื้นฐานของโลกยังคงเป็นความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นเพื่อลดความเสี่ยงในโลกไซเบอร์ก็ตาม ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว
นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูง แต่นักวิเคราะห์ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้น ดังนั้นแนะนำกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน และอสังหาริมทรัพย์ โดยให้น้ำหนักในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักรที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทโดยยังคงเน้นน้ำหนักการลงทุนในในตราสารทุนหลากหลายภูมิภาค พร้อมกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น ตลอดจนกองทุนรวมทั่วโลกที่เน้นการลงทุนแบบ ESG ที่มีอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมาก เนื่องด้วยผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลเพื่อความยั่งยืนกันมากขึ้น
ทั้งนี้ ESG เป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนที่ซิตี้ให้ความสำคัญในปี 2564 โดยซิตี้คาดว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ในอนาคต ตลอดจนนวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าและประสิทธิภาพของพลังงานทางเลือกมีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากในไม่กี่ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกันธนาคารซิตี้แบงก์ ได้มีการพัฒนาการบริหารความมั่งคั่งผ่านบริการ “ซิตี้โกลด์” ด้วยบริการการลงทุนได้ทั่วโลกกว่า 200 กองทุน จากพันธมิตรที่หลากหลายกับ 5 บลจ.ในประเทศและ 13 บลจ.ต่างประเทศ โดยมีความหลากหลายของกองทุนทั้งประเภทของสินทรัพย์ และภูมิภาคของการลงทุน อาทิ กองทุน Aberdeen standard Global Dynamic Dividend Fund, Fidelity Global Demographics Fund, JP Morgan America Equity Fund, JP Morgan US Value fund, AB Sustainable Global Thematic, Schroder ISF Global Climate Chang, BGF Sustainable Energy Fund, KTAM Global Climate Change Equity Fund รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร
โดยในไตรมาส 3 นี้ ซิตี้มีการเสนอขายกองทุนใหม่ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การเติบโตด้านการลงทุน โดยสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) มีการเติบโตเป็นที่น่าพึงพอใจ มีการเติบโตในกลุ่ม ซิตี้โกลด์ และซิตี้ไพรออริตี้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าซิตี้โกลด์ โดยมีบริการผู้ดูแลบัญชีที่พร้อมให้บริการคำแนะนำและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมต่าง ๆ การลงทุนให้กับลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์รวมถึงการจัดประชุมทางวิดีโอคอล พร้อมทั้งให้การบริหารความมั่งคั่งสะดวกในทุกโอกาสผ่านซิตี้ โมบายล์ แอปพลิเคชัน ให้ลูกค้าซิตี้โกลดสามารถทำการซื้อ-ขายกองทุนได้ด้วยตัวเอง การตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพอร์ทการลงทุน การโอนเงินผ่านทางพร้อมเพย์ไปยังต่างธนาคาร หรือโอนเงินไปยังบัญชีต่างประเทศได้ง่าย ๆ รวมถึงสามารถเปิดบัญชีสกุลเงินต่างประเทศได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับผู้สนใจสามารถรับข้อเสนอพิเศษรับซื้อและขายกองทุนผ่านซิตี้ โมบายล์ แอปพลิเคชัน รับเครดิตเงินคืนค่าธรรมเนียมการซื้อ 10%* หรือสูงสุด 100,000 บาท* เมื่อมียอดซื้อกองทุนรวมที่ร่วมรายการขั้นต่ำรวม 100,000 บาท รวมถึงรับเครดิตเงินคืนสูงสด 15,800 บาท* เมื่อเปิดบัญชีใหม่และมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตซิตี้ และรับดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 2% ต่อปี ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th